ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ในทันทีที่สายการบินนกแอร์ เปิดเส้นทางบินระหว่างประเทศเส้นทางใหม่ จากสนามบินดอนเมือง ไปสู่เมืองโฮจิมินห์ ประเทศเวียดนาม ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2558 ที่ผ่านมา บริการบินสัปดาห์ละ 4 เที่ยวบิน พร้อมจัดทริป “Somewhere in Time” นำคณะสื่อ มาเยือนเมืองโฮจิมินห์ หรือไซ่ง่อน ที่ได้รับการขนานนามว่าเป็น ”ไข่มุกแห่งตะวันออกไกล” ซึ่งในอดีตเป็นเมืองหลวงของเวียดนามใต้ โดยปัจจุบันเมืองมีความเจริญเป็นอย่างมาก และในอนาคตกำลังจะมีรถไฟฟ้า ที่ใจกลางเมือง

...

ที่สำคัญเมื่อได้มาถึง ก็ได้ซึมซับข้อมูลบุคคลที่ชาวเวียดนามยกย่อง แม้จะล่วงลับไปแล้ว แต่ยังสดุดีถึงคุณงามความดีของ อดีตประธานาธิบดีโฮจิมินห์ อดีตนายกรัฐมนตรี และประธานาธิบดีแห่งสาธารณรัฐประชาธิปไตยเวียดนาม จากพิพิธภัณฑ์โฮจิมินห์ (บ้านมังกร) ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำไซ่ง่อน และแม่น้ำเบนเหง่ โดยเฉพาะการประกาศอิสรภาพของเวียดนามต่อชาติตะวันตก ในปี ค.ศ. 1954 หลังจากชัยชนะในสงครามเวียดนาม (เดียนเบียนฟู) จน รัฐบาลฝรั่งเศส ถอนทหารออกจากประเทศ และคืนสันติภาพให้แก่อินโดจีนในที่สุด

สำหรับทริป “Somewhere in Time” ครั้งนี้ เน้นการท่องเที่ยวในเขต District 1 ศูนย์กลางของเมือง ที่ครั้งหนึ่งเคยเป็นเขตสำคัญเขตหนึ่งที่ชาวฝรั่งเศสมาอยู่อาศัย เมื่อครั้งที่ เวียดนาม ตกเป็นเมืองอาณานิคมของประเทศฝรั่งเศส เริ่มตั้งแต่การเข้าชมโบสถ์นอตเตรอดาม (Notre Dame Cathedral) หนึ่งในอาคารสไตล์เฟรนช์โคโลเนียล สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1877 มีจุดเด่นที่ด้านหน้าโบสถ์ มีรูปปั้นพระแม่มารีขนาดใหญ่ สีขาวเด่นเป็นสง่า และมีหอคอยคู่สูง 40 เมตร เป็นเอกลักษณ์ที่งดงามของโบสถ์แห่งนี้

...

ถัดไปบริเวณใกล้เคียง เป็นที่ตั้งของ ที่ทำการไปรษณีย์กลางแห่งนครโฮจิมินห์ (General Post Office) สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1896 โดยมี Gustaf Eiffel ชาวฝรั่งเศส ที่เป็นวิศวกร และสถาปนิก ผู้ซึ่งมีผลงานสิ่งก่อสร้างเป็นที่จดจำของชาวโลก คือ หอไอเฟล ในประเทศฝรั่งเศส ส่วนภายในไปรษณีย์กลางแห่งนี้ มีความงดงามเป็นอย่างยิ่ง มีการประดับภาพแผนที่ทางทะเลในอดีต และภาพของอดีตประธานาธิบดีโฮจิมินห์ เด่นเป็นสง่า ขณะที่ปัจจุบันผู้คนก็ยังคงใช้บริการไปรษณีย์ตามปกติ ส่วนนักท่องเที่ยวที่มาเยือน พลาดไม่ได้ที่ต้องซื้อโปสการ์ดเป็นที่ระลึก

จากการที่เวียดนาม เคยตกเป็นอาณานิคมของประเทศฝรั่งเศส จึงทำให้ได้เห็นอาคารสิ่งก่อสร้างเก่าแก่ในเขต District 1 เป็นแบบเฟรนช์โคโลเนียล อาทิ โรงละครโอเปร่า ที่ตั้งตระหง่านกลางแยกถนน ตรงข้ามกับห้างดังที่ขายสินค้าแบรนด์เนม โดยปัจจุบันใช้เป็นสถานที่แสดงละครโอเปร่า หรือการแสดงต่างๆ รวมถึงศาลาว่าการเมือง (Ho Chi Minh City Hall) สร้างขึ้นในช่วงปี ค.ศ. 1902-1908 เพื่อใช้เป็นศาลาว่าการเมือง ต่อมาในปี ค.ศ. 1975 ได้ถูกเปลี่ยนเป็นสภาประชาชน โดยด้านหน้าของอาคารมีรูปปั้นของ อดีตประธานาธิบดีโฮจิมินห์ และมีสวนสาธารณะลานน้ำพุ “จัตุรัสโฮจิมินห์” แหล่งรวมวัยรุ่นที่มาทำกิจกรรมหลากหลาย ในช่วงหัวค่ำของทุกวัน

...

...

เช่นเดียวกับ พิพิธภัณฑ์เมืองโฮจิมินห์ (Museum of Ho Chi Minh City) ที่สร้างขึ้นในปี ค.ศ. 1885-1890 เป็นอีกอาคารเก่าแก่ สไตล์เฟรนช์โคโลเนียล ออกแบบโดยสถาปนิกชาวฝรั่งเศส ชื่อ Alfred Foulhoux เพื่อใช้เป็นพิพิธภัณฑ์ด้านการพาณิชย์ ในการจัดแสดงผลิตภัณฑ์ และสินค้าของเวียดนามใต้ ต่อมาอาคารหลังนี้ถูกใช้เป็นสถานที่พำนักของข้าหลวงใหญ่แห่งโคชินไชน่า ปัจจุบันจัดแสดงโบราณวัตถุในสมัยก่อนประวัติศาสตร์, เรื่องราวประวัติความเป็นมาของเมืองไซ่ง่อนในอดีต, อุปกรณ์เครื่องมือเครื่องใช้ของผู้คนท้องถิ่น และ เรื่องราวการต่อสู้เพื่ออิสรภาพจากการปกครองของประเทศฝรั่งเศส และสหรัฐอเมริกา

เมื่อมาถึงเวียดนาม หากไม่ได้ชมการแสดงหุ่นกระบอกน้ำ ศิลปะประจำชาติ ก็คงจะไม่ได้ โดยโรงละคร The Golden Dragon Water Puppet Show ได้จัดการแสดงให้นักท่องเที่ยวได้ชม มีวงดนตรีพื้นเมืองบรรเลงพร้อมกับการขับร้อง เป็นการเพิ่มเสน่ห์อย่างยิ่ง ส่วนผู้ชักหุ่นกระบอกจะยืนแช่น้ำครึ่งตัวอยู่ด้านหลังฉาก เนื้อหาของการแสดงจะเป็นการบอกเล่าเรื่องราวของวิถีชีวิตดั้งเดิมของชาวเวียดนาม

ปิดท้ายทริป ก่อนบินกลับเมืองไทย ด้วยการเยี่ยมชมพิพิธภัณฑ์วิจิตรศิลป์ (Fine Arts Museum) อีกหนึ่งอาคารเก่าแก่แบบเฟรนช์โคโลเนียล ซึ่งมีไม่กี่อาคารของเมืองโฮจิมินห์ที่เปิดให้เข้าชม และเก็บภาพได้อย่างอิสระ ยกเว้นการถ่ายเซลฟี่จากโทรศัพท์มือถือ ซึ่งเป็นข้อห้ามของที่นี่ ภายในพิพิธภัณฑ์วิจิตรศิลป์ ประกอบไปด้วยศิลปะสมัยใหม่ ที่จัดแสดงภาพเขียน ภาพวาด และประติมากรรมสมัยใหม่ พร้อมชมโบราณวัตถุยุคอาณาจักรจามปา

สำหรับนักช็อป พลาดไม่ได้ ต้องแวะซื้อสินค้า และของที่ระลึกมากมายในตลาดเบนถั่น (Ben Thanh) ถูกสร้างโดยชาวฝรั่งเศส ในปี ค.ศ. 1870 ซึ่งตั้งใจสร้างให้เป็นตลาดที่ใหญ่ที่สุดในช่วงสมัยนั้น ตัวอาคารจะมีหอคอยทรงสี่เหลี่ยม ทั้งหมด 4 ด้าน โดยแต่ละด้านจะมีนาฬิกาอยู่ด้านหน้าเป็นสัญลักษณ์ ใครใคร่ซื้อ ก็มีทั้ง เสื้อผ้า ผ้าลายปัก ไม้แกะสลัก กระเป๋าเดินทาง กระเป๋าถือ เป้ นาฬิกา รองเท้า ของที่ระลึก กาแฟ อาหาร และเครื่องเทศ เป็นต้น หรือจะซื้อมีดทำผักบุ้งฝอยก็ไม่ว่ากัน แล้วไว้พบกันใหม่ “แห่น กับ ไหล่” (hẹn gặp lại).