ช่วงนี้มีกระแสข่าวช้างหลงฝูงออกมาเหยียบรถนักท่องเที่ยวอยู่บ่อยครั้ง แต่นั่นก็เป็นเพราะสัตว์ป่าอย่างช้างรู้สึกถึงภัยคุกคาม จึงปกป้องเขตที่อยู่อาศัยของตนตามสัญชาตญาณเท่านั้น โดยปกติแล้วช้างไม่ใช่สัตว์ดุร้าย ตรงกันข้ามเป็นสัตว์ที่น่ารักน่าหลงใหล จนทำให้ขาลุย(ป่า) ทั้งหลายพร้อมใจกันแบกเป้ออกไปเที่ยวเสาะหาตามล่าภาพสวยๆ ของช้างไทยมาบันทึกไว้ในความทรงจำ
เอาเป็นว่าช่วงนี้หากใครมีความจำเป็นต้องเดินทางผ่านบริเวณ กม.30 เส้นทางปราจีน-ที่ทำการอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ ก็ใช้ความระมัดระวังให้มากขึ้นอีกหน่อยก็แล้วกัน แต่สำหรับคนที่ชอบ 'ส่องช้าง' ล้อมวงมาทางนี้ คู่มือคนเมืองสัปดาห์นี้ จะพาไปทำความรู้จัก 5 แหล่งท่องเที่ยวชมช้างในเมืองไทยที่ขาเที่ยวตัวจริงไม่ยอมพลาด
อุทยานแห่งชาติกุยบุรี
สำหรับนักท่องเที่ยวขาลุย บอกเลยว่าไม่มีใครไม่รู้จักอุทยานแห่งชาติกุยบุรีหรือซาฟารีเมืองไทย ที่นี่นับเป็นอุทยานแห่งชาติลำดับที่ 90 ของประเทศ มีอาณาเขตครอบคลุม 4 อำเภอ คือ อำเภอปราณบุรี อำเภอสามร้อยยอด อำเภอกุยบุรี และอำเภอเมืองประจวบคีรีขันธ์ นอกจากนี้ อุทยานแห่งชาติกุยบุรี ยังเป็นถิ่นที่อยู่อาศัยของสัตว์ป่าที่มีความสำคัญต่อการอนุรักษ์ โดยเฉพาะกับ "ช้าง" ที่มักลงมาหาอาหารกินที่เชิงป่าชายเขาบริเวณใกล้ชุมชน
...
ด้วยความที่ผืนป่าแห่งนี้มีความอุดมสมบูรณ์ จึงทำให้มีช้างป่าอาศัยอยู่อย่างชุกชุม โดยมักจะออกมาหาอาหารกินในช่วงเย็น หากต้องการเที่ยวป่าและส่องช้าง นักท่องเที่ยวไม่ควรเดินทางไปด้วยตัวเอง เพื่อความปลอดภัยควรติดต่อเจ้าหน้าที่ในการนำทาง หากไม่ได้ขับรถกระบะมา ก็มีบริการพาเที่ยวด้วยรถยนต์ของชาวบ้านผู้ชำนาญพื้นที่ โดยจุดที่สามารถเห็นช้างป่าได้ง่าย มักจะอยู่บริเวณหนองน้ำขนาดใหญ่ ซึ่งจุดนี้ช้างจะต้องลงมากินน้ำหรือเล่นน้ำบ้างในช่วงเย็น
ข้อควรระวังในการไปเที่ยวส่องช้าง คือ ต้องเฝ้าดูอย่างเงียบสงบ เพราะช้างป่าเป็นสัตว์ขี้ระแวงตกใจง่าย ไม่ว่าจะเจอที่หนองน้ำ หรือเจอช้างกำลังกินหญ้าอยู่ริมข้างทางก็ตาม
การเดินทาง จากกรุงเทพฯ ให้ใช้ถนนเพชรเกษมขับมุ่งหน้าลงใต้มายังอำเภอกุยบุรี ก่อนทางเข้าเห็นรูปปั้นช้างโขลงใหญ่ ให้เลี้ยวขวาเข้าไป จากนั้นขับไปตามป้าย ชมช้างป่ากุยบุรี/บ้านรวมไทย มีป้ายบอกตลอดเส้นทางประมาณ 15 กิโลเมตร
ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทยเขาใหญ่
อันดับต่อมาคงต้องยกให้ ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทยเขาใหญ่ หรือ ศูนย์กิจกรรมช้างไทยเพื่อการอนุรักษ์ อ.ปากช่อง ตั้งอยู่บริเวณทางขึ้นอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ บริเวณกิโลเมตรที่ 16 ของถนนธนะรัชต์ โดยศูนย์นี้เน้นการทำกิจกรรมระหว่างคนกับช้าง เพื่อกระตุ้นให้คนไทยตระหนักถึงการอนุรักษ์ช้างให้มากขึ้น เหมาะมากสำหรับการเดินทางมาเที่ยวเป็นครอบครัว นอกจากจะไม่ไกลจากกรุงเทพฯ แล้ว ยังสามารถพาเด็กๆ มาเที่ยวได้ด้วย เพราะช้างที่นี่เป็นช้างที่ถูกฝึกมาเป็นอย่างดี และมีเจ้าหน้าที่คอยดูแลความปลอดภัยอย่างใกล้ชิด
นอกจากนี้ยังเป็นสถานที่ที่เปิดโอกาสให้หน่วยงาน โรงเรียน และกลุ่มบุคคลที่สนใจต่างๆ สามารถเข้ามาร่วมกิจกรรมเพื่อการเรียนรู้อนุรักษ์ช้างไทยอย่างเป็นกิจจะลักษณะ ส่วนนักท่องเที่ยวขับรถผ่านไปมาบริเวณนี้ สามารถแวะให้อาหารช้างและขี่ช้างเพื่อสนับสนุนโครงการได้ สำหรับกิจกรรมในศูนย์ ได้แก่ การเรียนรู้กับคุณครูช้าง การเล่นสาดน้ำช้าง การทำบุญบนหลังช้าง รวมถึงการนั่งช้างท่องเที่ยวศึกษาธรรมชาติ
การเดินทาง จากกรุงเทพฯ ให้มาตามถนนสายมิตรภาพ ผ่านสระบุรี เข้าสู่ อ.ปากช่อง มาตามป้ายบอกทางไปเขาใหญ่ โดยเข้าสู่ถนนธนะรัชต์ ประมาณ 16 กม. ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย เขาใหญ่ จะอยู่ทางซ้ายมือก่อนขึ้นอุทยานแห่งชาติเขาใหญ่ เปิดทำการ 08.30-17.00 น.
...
ปางช้าง จ.เชียงใหม่
สำหรับจังหวัดเชียงใหม่ถือเป็นสวรรค์ของนักท่องเที่ยวที่ชอบช้างโดยเฉพาะ เพราะมีปางช้างหลายแห่ง ได้แก่ ปางช้างแม่แตง อำเภอแม่แตง, ศูนย์ฝึกช้างเชียงดาว อำเภอเชียงดาว, ปางช้างแม่สา อำเภอแม่ริม ซึ่งมีกิจกรรมที่น่าสนใจมากมาย เช่น อาบน้ำให้ช้าง ชมการฝึกลูกช้าง การอบรมควาญช้าง เป็นต้น
แต่ถ้าอยากทำกิจกรรมกับช้างแบบส่วนตัวต้องไปที่ ปางช้างแอลลี่ ตั้งอยู่ที่หมู่บ้านแม่ตะมาน อำเภอแม่แตง เป็นแหล่งชมช้างที่นักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสกับช้างอย่างใกล้ชิด ได้เรียนรู้การฝึกเป็นควาญช้าง อาบน้ำช้าง กิจกรรมศิลปะกับศิลปินช้าง นั่งช้างชมธรรมชาติท่ามกลางความสวยงามของหุบเขาแม่ตะมาน และสองฝั่งน้ำแม่แตง
นอกจากนี้ยังมี ฟาร์มช้างภัทร ตำบลบ้านโป่ง อำเภอหางดง ที่นี่พิเศษตรงที่เป็นศูนย์เพิ่มจำนวนช้างในประเทศไทย รวมทั้งสร้างสภาพแวดล้อมที่เหมาะสมกับการดำรงชีวิตของช้าง ทั้งยังเป็นสถานที่ท่องเที่ยวที่เปิดโอกาสให้นักท่องเที่ยวได้ฝึกทดลองเป็นควาญช้าง ได้เรียนรู้การใช้ชีวิตของช้าง การดูแลช้าง การอาบน้ำ การออกคำสั่ง นอกจากนั้นยังมีโปรแกรมท่องเที่ยวขี่ช้างไปยังน้ำตก เข้าป่า และเที่ยวหมู่บ้านชาวเขาอีกด้วย สามารถสอบถามเส้นทางเพื่อไปเที่ยวปางช้างต่างๆ ได้ที่ปางช้าง จังหวัดเชียงใหม่ โทร. 0-5324-8604, 0-5324-8607
...
ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย จ.ลำปาง
ศูนย์ช้างที่นี่มีความน่าสนใจตรงที่เป็นศูนย์ฝึกลูกช้างซึ่งเป็นแห่งแรกและแห่งเดียวในโลก โดยเริ่มดำเนินการมาตั้งแต่ พ.ศ. 2512 เป็นสถานที่เลี้ยงและฝึกลูกช้างเพื่อให้เชื่อฟังคำสั่งและมีความชำนาญในการทำไม้ขณะที่แม่ช้างไปทำงานในป่า และที่นี่ยังเป็นสถานที่ตั้งของโรงพยาบาลช้างด้วย ส่วนกิจกรรมที่นักท่องเที่ยวไม่ควรพลาด ได้แก่ กิจกรรมท่องเที่ยวเชิงนิเวศ อาบน้ำช้าง นั่งช้างชมสวนป่า กิจกรรม โฮมสเตย์ (Homestay) ซึ่งนักท่องเที่ยวจะได้สัมผัสบรรยากาศธรรมชาติ เรียนรู้วิถีชีวิตที่ผูกพันระหว่างช้างกับคนเลี้ยงช้างอย่างใกล้ชิด เป็นต้น
นอกจากนี้ ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย จ.ลำปาง ยังเคยได้รับรางวัลอุตสาหกรรมท่องเที่ยว (Tourism Awards) ประเภทรางวัลดีเด่นแหล่งท่องเที่ยวทางธรรมชาติ พ.ศ.2541 ปัจจุบันศูนย์ฯ มีโครงการโรงเรียนฝึกควาญช้าง เพื่อฝึกควาญหรือผู้ที่ประสงค์จะเป็นควาญให้สามารถดูแลช้างได้อย่างถูกต้อง
การเดินทาง ที่นี่ห่างจากตัวเมืองลำปาง 24 กิโลเมตร อยู่ริมทางหลวงหมายเลข 11 (สายลำปาง-ลำพูน) บริเวณกิโลเมตรที่ 28-29 หากโดยสารรถประจำทาง ให้ขึ้นรถที่จะไปเชียงใหม่จากสถานีขนส่งลำปาง มาลงที่ศูนย์อนุรักษ์ช้างไทย
...
อุทยานแห่งชาติเขาสก จ.สุราษฎร์ธานี
อุทยานแห่งชาติเขาสก ครอบคลุมพื้นที่อำเภอบ้านตาขุน อำเภอพนม และอำเภอคีรีรัฐนิยม สภาพโดยทั่วไปเป็นภูเขาดิน และภูเขาหินปูนสูงสลับซับซ้อน มีแนวหน้าผาสูงชัน มีป่าไม้และสัตว์ป่าอุดมสมบูรณ์ โดยช่วงเวลาที่เหมาะจะเดินทางมาท่องเที่ยวคือ เดือนธันวาคมถึงเดือนเมษายน นอกจากนั้นอุทยานฯ ยังมีกิจกรรมที่น่าสนใจ คือ การล่องแก่ง เดินป่า และ นั่งช้าง เพื่อศึกษาเส้นทางธรรมชาติ
ความที่เส้นทางศึกษาธรรมชาติในอุทยานรถยนต์ไม่สามารถขับเข้าไปได้ จึงต้องใช้วิธีเดินเท้าหรือนั่งช้างบุกป่าฝ่าดงเข้าไปในป่าฝนเขตร้อนที่เขียวขจีชุ่มชื้นแห่งนี้เท่านั้น งานนี้นักท่องเที่ยวจึงจะได้สัมผัสกับช้างอย่างใกล้ชิดในฐานะที่เป็นพาหนะเดินทางที่มีชีวิต
ระหว่างนี้นักท่องเที่ยวจะได้ส่องสัตว์ป่าชนิดอื่นๆ ไปด้วยในตัว ไม่ว่าจะเป็น วัวแดง กระทิง สมเสร็จ เสือลายเมฆ เสือโคร่ง และนกนานาชนิดไม่ต่ำกว่า 200 สายพันธุ์ สามารถใช้เวลาเพลิดเพลินอยู่บนหลังช้างร่วม 2 ชั่วโมง และนอกจากนี้ยังได้เห็นวิถีชีวิตความเป็นอยู่ของชาวบ้านแถบนั้นอีกด้วย
การเดินทาง จากตัวเมืองสุราษฎร์ธานีใช้เส้นทางสุราษฎร์ธานี-ตะกั่วป่า (ทางหลวงหมายเลข 401) ถึงกิโลเมตรที่ 109 มีแยกขวาไปอีก 1.5 กิโลเมตร ถึงบริเวณที่ทำการอุทยานฯ