ในลานรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าของมัสยิดอุมะวีย์อันเป็นหัวใจของเขตเมืองเก่าดามัสกัส ผู้หญิงนุ่งห่มดำนั่งคุยกันบนพื้นหินสีครีมที่เรียบและมันวาว เพราะผ่านการใช้งานจากผู้คนรุ่นแล้วรุ่นเล่า
ภายในกำแพงโรมันอันแน่นหนาของมัสยิด วิถีแห่งดามัสกัสที่ผสมผสานความโอ่อ่าแห่งอดีตกาล ความเงียบสงบ และความวุ่นวายรายวัน ยังคงดำเนินไปเฉกเช่นที่เคยเป็นมา แม้จะมีเสียงระเบิดดังแว่วมาไกลๆ อันเป็นผลพวงของสงครามกลางเมืองที่กำลังทำลายย่านชานเมืองอันทรุดโทรมให้พังภินท์
มุฮัมมัด อาลี วัย 54 ปี ใช้กล้องโพลารอยด์คู่ใจ ถ่ายภาพครอบครัวสีหน้าเคร่งขรึมซึ่งหลบมาพักผ่อนจากเมืองอะเลปโปที่ย่อยยับจากสงคราม ลูกค้าปกติของเขาอย่างนักท่องเที่ยว นักเรียนต่างชาติ และสมาชิกครอบครัวที่ออกมาเดินเที่ยวเล่นหายหน้าไปนานแล้ว ในย่านใจกลางเมือง ผู้ชายถือปืนเดินตรวจตราไปตามถนนหนทาง พวกเขาเป็นสมาชิกกองกำลังติดอาวุธของชุมชนที่เพิ่มจำนวนขึ้นเรื่อยๆ ดูประหนึ่งชาวเมืองเก่าดามัสกัสกำลังเตรียมพร้อมเผชิญอนาคตที่ไม่อาจคาดเดา กำแพงเมืองโบ
ราณที่เคยปกป้องนครจากผู้รุกรานเมื่อครั้งอดีต กำลังหวนคืนสู่บทบาทในฐานะป้อมปราการอีกครั้ง พ้นเขตกำแพงเมืองออกไป จุดตรวจของทหารคือปราการอีกด่านที่ปกป้องพื้นที่ไข่แดงกลางกรุงดามัสกัสที่รัฐบาลควบคุมจากการรุกคืบของกลุ่มกบฏ
ความหวังมากมายมลายไปแล้ว เว้นแต่วัฒนธรรมอันโดดเด่นของดามัสกัสที่โลกอาหรับยอมรับมานานแล้วว่าเป็นดั่งประทีปแห่งอารยธรรมอันยิ่งใหญ่ ยังพอเป็นความหวังอันน้อยนิดที่จะช่วยธำรงรักษาซีเรียเอาไว้ สำหรับชาวซีเรียจำนวนมาก ดามัสกัสคือสิ่งยึดโยงสำนึกแห่งความเป็นชาติร่วมกัน เป็นเวลาหลายศตวรรษมาแล้วที่ผู้นับถือศาสนาอิสลามนิกายซุนนี นิกายชีอะฮ์ คริสต์ศาสนา และศาสนายูดาห์ได้ค้าขาย ทำงาน และอาศัยอยู่ร่วมกันที่นี่ แม้จะไม่ได้ปลอดจากความขัดแย้งเสียทีเดียว แต่ต่างก็รู้สึกเปรมปรีดิ์ร่วมกันในครรลองชีวิตและธุรกิจของเมือง
ผู้ที่อาศัยอยู่ในกรุงดามัสกัสและรักเมืองนี้สุดใจ ต่างหลอมรวมเป็นหนึ่งเพื่อรักษาเมืองไว้ กระนั้น ชาวดามัสกัสยังคิดต่างกันในแง่ที่ว่า ใครคือภัยคุกคามโลกของพวกเขามากที่สุด ภายใต้เปลือกของความกลัวที่มีต่อกลุ่มกบฏ รัฐบาลซีเรีย การแทรกแซงจากต่างชาติ และเหตุการณ์ความไม่สงบทั่วๆ ไป มุมมองทางการเมืองจึงแตกต่างกันเสียจนยากที่จะนึกภาพว่า รอยร้าวดังกล่าวจะผสานกันได้อย่างไร
...
ตรอกซอยอันคดเคี้ยวในเขตเมืองเก่าก่อร่างสร้างขึ้นในลักษณะนั้นส่วนหนึ่งเพื่อให้เพื่อนบ้านต่างเชื้อชาติและนิกายสามารถปกป้องเขตแดนของตนเอง กาซี เอช. ชาวคริสต์วัยสามสิบเศษ อธิบายว่า “นี่คือสัญลักษณ์บ่งบอกว่า กลุ่มที่แบ่งแยกกันเหล่านี้สามารถอยู่ร่วมกันได้ แม้จะไม่ชอบกันและกัน” เมื่อเดินผ่านย่านชาวชีอะฮ์ เขาสังเกตเห็นแผ่นป้ายบนกำแพงรำลึกถึงนักรบที่ล้มตายเพื่ออัสซัด และรู้ด้วยว่าชาวซุนนีบางคนที่เดินผ่านมาจากย่านใกล้เคียงอาจนึกพอใจกับการตายดังกล่าวอยู่ลึกๆ กระนั้น ทั้งสองกลุ่มยังคงทักทายและแวะเยี่ยมชมร้านค้าของอีกฝ่าย
ในช่วงเวลาที่สงบกว่านี้ ประธานาธิบดีอัสซัดยอมรับในอัตลักษณ์ของดามัสกัส เขาไปร่วมงานแสดงดนตรีที่ผสมผสานศรัทธาอันหลากหลาย และได้คะแนนนิยม (ซึ่งยังเป็นที่ถกเถียงกันอยู่) จากการบูรณะเขตเมืองเก่า ขณะที่ผู้ประกอบการดัดแปลงบ้านเรือนดั้งเดิมเป็นร้านกาแฟและโรงแรมเล็กๆ การฟื้นฟูย่านชุมชนเมืองเช่นนี้บ่งบอกถึงความเปลี่ยนแปลงอีกขั้นหนึ่ง กล่าวคือ ครอบครัวชาวมุสลิมขนาดใหญ่พากันขายสินทรัพย์ที่ทวีมูลค่ามากขึ้นของพวกเขา และไปสร้างบ้านหลังใหญ่กว่าเดิมในเขตชานเมืองที่ตอนนี้ย่อยยับจากสงคราม
ผู้สนับสนุนรัฐบาลในเขตเมืองเก่ามองอัสซัดในฐานะผู้พิทักษ์ความหลากหลายทางวัฒนธรรมของเมือง ต่อสู้กับการก่อการกำเริบของพวกหัวรุนแรงที่ได้แรงบันดาลใจจากต่างชาติ ซึ่งหมายจะขับไล่ชนกลุ่มน้อยออกนอกประเทศ และใช้หลักศาสนาในการปกครอง ขณะที่ผู้สนับสนุนกลุ่มกบฏมองว่า ความคิดดังกล่าวไร้สาระอย่างน่ารังเกียจ พวกเขามองนักรบกลุ่มต่อต้านซึ่งส่วนใหญ่เป็นชาวซุนนีฐานะยากจนจากต่างจังหวัดว่าเป็นชาวซีเรียธรรมดาๆ ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของการผสมผสานทางวัฒนธรรมที่ไม่อาจแยกขาดจากกันได้ ชาวดามัสกัสที่ต่อต้านอัสซัดกล่าวหาว่า เขาเป็นผู้โหมเพลิงการแบ่งแยกตามนิกายความเชื่อ และเพื่อให้ตนเองครองอำนาจต่อไป อัสซัดไม่ลังเลหากนั่นหมายถึงความพินาศย่อยยับของเมือง
นั่นคือสิ่งที่เกิดขึ้นในเมืองอะเลปโปทางเหนือของประเทศหลังฤดูร้อน ปี 2012 เมื่อกลุ่มกบฏบุกเข้าเขตเมืองเก่า และรัฐบาลของอัสซัดไม่ลังเลที่จะถล่มเมือง มัสยิดอุมะวีย์ในเมืองอะเลปโปได้รับความเสียหายอย่างหนัก เช่นเดียวกับมัสยิดและโบสถ์อีกหลายแห่งทั่วประเทศ “ถ้าพวกเขา [ทหารฝ่ายรัฐบาล] พยายามบุกเข้ามา ผมนี่แหละครับจะเป็นคนแรกที่ลุกขึ้นสู้” เจ้าของร้านชาวดามัสกัสรายหนึ่งที่ต่อต้านอัสซัดบอกอย่างนั้น
อย่างไรก็ตาม แม้กระทั่งที่นี่ ความรุนแรงดูเหมือนจะกลายเป็นความชั่วร้ายที่จำเป็น ในห้องนั่งเล่นซอมซ่อของบ้านผุพังหลังหนึ่งที่มองลงไปเห็นถนนสเตรต ลีนา ซีรีอานี นำกาแฟมาเสิร์ฟ เธอหลบหนีจากบ้านที่เมืองฮอมส์ซึ่งกลุ่มกบฏเข้ายึดครอง เพราะการสู้รบและการทิ้งระเบิด กระนั้น เมื่อได้ยินเสียงกระสุนดังหวีดหวิวผ่านอากาศ และเสียงดังสนั่นยามกระทบเป้า เธอกลับโห่ร้องยินดีว่า “ฉันหวังว่ากระสุนพวกนั้นจะโดนผู้ก่อการร้ายและพวกก่อวินาศกรรม”
ในตรอกใกล้ๆ กัน พ่อค้าเครื่องเทศร่างผอมเกร็งวัยสามสิบกลางๆ กระซิบเล่าเรื่องราวที่ต่างออกไป เขามาจากย่านชานเมืองที่ถูกทิ้งระเบิดหนักย่านหนึ่ง และผู้คนที่เขารู้จักส่วนใหญ่ต่างลุกขึ้นจับอาวุธ “ทั้งวันคุณได้ยินแต่เสียงระเบิดออกมาจากที่นี่ [ดามัสกัส] และไปตกที่โน่น แล้วพวกเขายังมาเที่ยวบอกคุณว่า ภัยคุกคามมาจากที่โน่น
...
"เขาเล่าอย่างดุเดือดพลางชี้มือไปทางชานเมือง “ผมควรกลัวครอบครัวของผมเองใช่ไหม” เขาบอกว่าที่ต้องหนีออกมาก็เพื่อปกป้องลูกสาว และรู้สึกผิดที่มาใช้ชีวิตหลบอยู่หลังฝ่ายรัฐบาลแบบไม่ใช่ “ลูกผู้ชาย” เขาพึมพำว่า “ผมจะไปร่วมกับพี่น้องที่นั่นไม่ช้าก็เร็วครับ"
นี่คือการต่อรองของดามัสกัสและซีเรีย กล่าวคือยอมใช้ชีวิตภายใต้กำปั้นเหล็กเพื่อแลกกับความปลอดภัยทางสังคมและที่ว่างสำหรับความหลากหลายทางศาสนาและวัฒนธรรม เว้นไว้ก็แต่เรื่องเสรีภาพทางการเมือง ครั้นแล้วชาวซีเรียก็หลั่งไหลสู่ท้องถนนอย่างสงบในช่วงต้นปี 2011 รัฐบาลตอบโต้ด้วยการใช้กำลังเกินกว่าเหตุ ทำให้ฝ่ายตรงข้ามหันไปจับอาวุธ
ปัจจุบัน คำกล่าวอ้างที่อัสซัดใช้มานานว่า ถ้าไม่เอาผมก็เหลือแต่พวกมุสลิมหัวรุนแรง ได้พิสูจน์แล้วว่าเป็นความจริงในหลายพื้นที่ของประเทศ ส่วนที่มาและเหตุผลนั้นคงต้องถกเถียงกันอีกนาน แต่เมื่อทั้งสองฝ่ายเริ่มอ่อนล้า และถูกบีบบังคับให้ต้องเผชิญหน้ากับความจริงว่า ความรุนแรงจะทำลายล้างทุกสิ่งที่ต่อสู้เพื่อให้ได้มา บางทีทางออกอาจปรากฏอยู่ในแบบอย่างของการอยู่ร่วมกันในดามัสกัส หรือไม่ก็ในความรักที่ต่างมีให้เมืองโบราณอายุหลายพันปีแห่งนี้ที่ไม่มีใครต้องการเห็นจุดจบ
...
เรื่อง แอนน์ บาร์นาร์ด
ภาพถ่าย แอนเดรีย บรูซ
ข้อมูลนิตยสารเนชั่นแนลจีโอกราฟฟิก ฉบับภาษาไทย