สัปดาห์นี้สารคดีไทยรัฐออนไลน์พาไปพบกับเรื่องราวลึกลับสนุกๆ ของค้างคาว...
ความสร้างสรรค์ของธรรมชาติไม่มีที่สิ้นสุด ดังจะเห็นได้จากกรณีของค้างคาวกินน้ำต้อยและเถาไม้เลื้อยที่ดอกผลิบานยามค่ำคืนซึ่งใช้ชีวิตร่วมกันในป่าเขตร้อนลุ่มต่ำของอเมริกากลาง
ค้างคาวลิ้นยาวสีน้ำตาลเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนมมีปีกตัวเล็กจ้อย และโผบินท่ามกลางมวลดอกหมามุ้ยเพื่อลิ้มเลียน้ำต้อย เฉกเช่นนกฮัมมิงเบิร์ดและแมลงภู่ โดยผสมเกสรเป็นการแลกเปลี่ยน ในเวลากลางวัน ดอกได้สามารถอวดสีสันสดใส เช่น แดงสดและบานเย็น แต่ในยามค่ำคืน กระทั่งเฉดสีสุกสว่างที่สุดก็ยังซีดจางในแสงจันทร์สีเงินยวง ดอกหมามุ้ยจึงต้องหันไปพึ่งเสียงเพื่อดึงดูดค้างคาว
ที่สถานีชีววิทยาลาเซลวาทางเหนือของคอสตาริกา เถาหมามุ้ยเก่าแก่ที่ยังงอกงามเลื้อยกระหวัดถักทอเป็นเพดานใบไม้เหนือที่ว่างในป่า และทอดกิ่งเขียวยาวที่มีดอกหมามุ้ยนับสิบๆ ดอกลงสู่เบื้องล่าง ดูราวกับโคมระย้าประดับห้องบอลรูมอันมืดครึ้ม
เมื่อสิ้นแสงอาทิตย์ ดอกตูมของเถาหมามุ้ยเตรียมแต่งองค์ทรงเครื่องรอรับค้างคาว เริ่มจากกลีบดอกสีเขียวอ่อนด้านบนสุดที่หุ้มดอกตูมอยู่ค่อยๆ เปิดขึ้นในแนวตั้งราวกับไฟส่งสัญญาณวับวาม ถัดจากกลีบส่งสัญญาณนี้ลงไปเป็นกลีบด้านข้างเล็กๆ สองกลีบที่สยายออกราวกับปีก เผยให้เห็นร่องด้านบนของฝักถั่วอันเป็นที่มาของกลิ่นคล้ายกระเทียมโชยอ่อนไปไกลเย้ายวนให้ทาสติดปีกรุดมาเยือน
ค้างคาวใช้คลื่นเสียงความถี่สูงเป็นเครื่องมือในการระบุสิ่งกีดขวางหรือเป้าหมาย พวกมันใช้เส้นเสียงสร้างเสียงที่สั้น รัว ส่งผ่านรูจมูกหรือปาก และตีความรูปแบบการเปลี่ยนแปลงของคลื่นเสียงที่สะท้อนกลับมายังหูที่ไวต่อเสียง ข้อมูลที่กลับเข้ามาได้รับการประมวลอย่างรวดเร็วและต่อเนื่อง ช่วยให้ค้างคาวสามารถปรับเส้นทางการบินกลางอากาศ ขณะไล่กวดยุงหรือบินฉวัดเฉวียนไปตามมวลไม้ที่ผลิดอกสะพรั่ง
ค้างคาวส่วนใหญ่กินแมลงเป็นอาหาร พวกมันมักส่งสัญญาณเสียงอันทรงพลัง ครอบคลุมระยะทางไกลๆ ขณะที่ค้างคาวกินน้ำต้อยส่งสัญญาณเสียงที่แผ่วเบา แต่ซับซ้อนกว่า ซึ่งนักวิทยาศาสตร์เรียกว่า การกล้ำความถี่ (frequency modulation) สัญญาณอย่างหลังนี้ชดเชยระยะทางที่สั้นกว่าด้วยรายละเอียดที่มีความแม่นยำที่สุดในระยะ 4 เมตร โดยสะท้อนข้อมูลที่มีความเที่ยงตรง ทั้งขนาด รูปทรง ตำแหน่ง ผิวสัมผัส มุม ความลึก และคุณลักษณะอื่นๆ ของเป้าหมายที่มีเพียงค้างคาวกินน้ำต้อยเท่านั้นที่ตีความออก
ในห้องบอลรูมกลางป่าที่ลาเซลวา รูปทรงคล้ายถ้วยของกลีบส่งสัญญาณทำหน้าที่คล้ายกระจกเงา รับสัญญาณเรียกจากค้างคาวและสะท้อนข้อมูลกลับไปอย่างหนักแน่นและชัดเจน ด้วยสายตา หู และจมูกที่ฝึกมาเพื่อหากลีบส่งสัญญาณ ค้างคาวโถมเข้า “สวมกอด” ดอกหมามุ้ยด้วยความเร็วสูง
ทุกอย่างสอดรับกันอย่างเหมาะเจาะลงตัว ค้างคาวมุดหัวลงไปในถ้วยดอกไม้ที่เปิดรับ จิกนิ้วเท้าไปที่ฐานกลีบส่งสัญญาณ ม้วนหางเก็บ และยกขาหลังขึ้น เมื่อยึดตัวเข้ากับด้านบนของฝักถั่วแล้ว ค้างคาวก็ยื่นจมูกเข้าไปในช่องเปิดที่ส่งกลิ่นคล้ายกระเทียม ลิ้นยาวๆ ของมันช่วยเปิดสวิตช์หรือกลไกที่ซ่อนอยู่ เผยให้เห็นร่องตามแนวยาวของฝักถั่ว เมื่อลิ้นสอดลึกลงสู่ต่อมน้ำต้อย อับเรณูก็แตกตัวออกจนใบหน้าเล็กๆ ของค้างคาวเปรอะเปื้อนไปด้วยละอองเรณูสีทอง และแล้วเจ้าค้างคาวก็จากไป ทว่าระบบเผาผลาญประสิทธิภาพสูงและอาหารที่เป็นเพียงน้ำหวานไม่เอื้อให้อ้อยอิ่ง ค้างคาวแต่ละตัวต้องแวะเวียนไปตามดอกไม้นับร้อยๆ ดอกในแต่ละคืน
...
ค้างคาวกินน้ำต้อยวิวัฒน์ควบคู่ไปกับไม้ดอกบางวงศ์ในลักษณะสมประโยชน์ด้วยกันทั้งสองฝ่าย
นักชีววิทยาเรียกความสัมพันธ์นี้ว่าการถ่ายเรณูอาศัยค้างคาว (Chirop tero phily) แรงขับเคลื่อนที่อยู่เบื้องหลังคือความต้องการพื้นฐานของชีวิตอันได้แก่ ความอยู่รอดและการสืบพันธุ์
ผลที่ตามมาคือ พืชที่ผลิดอกยามค่ำคืนจึงเผยตัวอย่างโจ่งแจ้งในตำแหน่งที่ค้างคาวบินผ่านหรือเข้าถึงได้ง่าย อีกทั้งสามารถดื่มน้ำต้อยและปลอดจากสัตว์นักล่าอย่างงูเขียวและโอพอสซั่มที่อาจซุ่มซ่อนอยู่ ดอกไม้เหล่านี้เสริมความเย้ายวนด้วยกลิ่นจากสารประกอบกำมะถัน เป็นเหมือนสัญญาณที่ขจรขจายไปไกลและเกินห้ามใจสำหรับค้างคาวกินน้ำต้อย เถาหมามุ้ยและพืชบางชนิดก้าวไปอีกระดับ พวกมันวิวัฒน์รูปทรงดอกให้สอดรับกับการสะท้อนคลื่นเสียงที่ค้างคาวใช้
คำถามคือ เพราะเหตุใดพืชถึงต้องลงทุนลงแรงมากขนาดนั้นเพื่อดึงดูดและให้รางวัลค้างคาว นักชีววิทยาผู้ศึกษาความสัมพันธ์นี้บอกว่า ก็เพราะค้างคาวเป็นพาหะถ่ายเรณูที่มีประสิทธิภาพมากที่สุดชนิดหนึ่งในธรรมชาติ งานนี้จึงคุ้มค่า
การศึกษาชิ้นหนึ่งเมื่อปี 2010 โดยนาทาน มัชฮาลา นักนิเวศวิทยาวิวัฒนาการ จากมหาวิทยาลัยมิสซูรี วิทยาเขตเซนต์หลุยส์ ที่เปรียบเทียบนกฮัมมิงเบิร์ดกับค้างคาวกินน้ำต้อยในเอกวาดอร์ พบว่า โดยเฉลี่ยค้างคาวช่วยกระจายละอองเรณูได้มากกว่านกฮัมมิงเบิร์ดถึงสิบเท่า ทั้งยังพาเรณูไปได้ไกลกว่าอีกด้วย เชื่อกันว่านกฮัมมิงเบิร์ดพาเรณูไปได้ไกลภายในรัศมี 200 เมตร ขณะที่นักถ่ายเรณูที่เดินทางไกลที่สุดในหมู่ค้างคาวกินน้ำต้อยอย่างค้างคาวจมูกยาวถิ่นใต้ตระเวนหากินได้ไกลถึง 50 กิโลเมตรจากรัง สำหรับพืชในป่าเขตร้อนที่มักกระจายตัวไปไกล แต่ไม่กระจุกตัวหนาแน่น รัศมีการหากินของค้างคาวจึงเป็นประโยชน์มาก การถ่ายเรณูระยะไกลเช่นนี้ยิ่งมีความสำคัญมากขึ้น ในภาวะที่ผืนป่าเริ่มกระจัดกระจายจากการแผ้วถางและตัดไม้ทำลายป่า
ย้อนหลังไปเมื่อทศวรรษ 1790 ลัซซาโร สปันลันซานี นักชีววิทยาชาวอิตาลี ถูกมองเป็นตัวตลก หลังจากเขาเสนอแนวคิดว่า ค้างคาวใช้หูเพื่อช่วยให้มองเห็นในความมืด กว่าหนึ่งศตวรรษครึ่งต่อมา ในช่วงปลายทศวรรษ 1930 นักวิทยาศาสตร์ค้นพบแล้วว่า ค้างคาวทำได้อย่างไร มาวันนี้อีก 75 ปีให้หลัง เรารู้ว่า นอกจากค้างคาวจะสามารถ “มองเห็น” ด้วยเสียงแล้ว พืชเองก็วิวัฒน์รูปทรงของดอกเพื่อให้เป็นที่ “ได้ยิน” และไพเราะเสนาะหูสำหรับค้างคาวในทำนองเดียวกับที่มวลบุปผาสีสันสดใสยามกลางวันเป็นที่สะดุดตาของเหล่าพาหะถ่ายเรณู ท่ามกลางปฏิสัมพันธ์อันละเอียดอ่อนเช่นนี้ ธรรมชาติได้เผยอัศจรรย์อันลึกล้ำอีกครา
เรื่อง ซูซาน แมกกราท ภาพถ่าย เมอร์ลิน ดี. ทัตเทิล ข้อมูลจากนิตยสารเนชั่นแนลจีโอกราฟฟิก ฉบับภาษาไทย