ในโอกาสเยือนเมืองมัณฑะเลย์ ศูนย์กลางเศรษฐกิจตอนบน และเป็นราชธานีแห่งสุดท้ายของพม่า ก็ต้องเกริ่นสักนิดนึงว่า เมืองแห่งนี้เป็นที่นิยมของคนไทยในการมาทัวร์ไหว้พระ เนื่องจากเป็นศูนย์กลางศาสนาและวัฒนธรรมที่สำคัญ โดยพระเจ้ามินดงเป็นผู้สร้างราชธานีมัณฑะเลย์ และพระเจ้าธีบอ (พระโอรส) เป็นกษัตริย์องค์สุดท้าย ช่วงสงครามโลกครั้งที่ 2 ถูกกองทัพอังกฤษตีเมืองแตก ถูกเนรเทศพร้อมเหล่าราชวงศ์ไปอยู่อินเดีย ส่วนพระราชวังมัณฑะเลย์ทำจากไม้สัก ถูกระเบิดราบเป็นหน้ากลอง เหลือแต่กำแพงเมือง

วันนี้มัณฑะเลย์กำลังพัฒนาต้อนรับนักลงทุนทั้งหลาย และยังเป็นเส้นทางเชื่อมชายแดนพม่ากับอินเดีย ระหว่างเมืองทามูของพม่า กับเมืองโมเรห์ของอินเดียและติดชายแดนจีน ระหว่างเมืองมูเซของพม่ากับเมืองรุ่ยลี่ของจีน สำหรับผู้สนใจลงทุน คงไม่พลาดเรื่องการลงทุนโครงสร้างพื้นฐาน โดยเฉพาะวัสดุการก่อสร้างเป็นที่ต้องการมากๆ อย่างล่าสุดบริษัท ไฮโดรเท็ค จำกัด (มหาชน) จับมือพันธมิตรในพื้นที่ เตรียมลงทุนระบบบำบัดน้ำเสีย ในนิคมอุตสาหกรรมมัณฑะเลย์ มูลค่า 360 ล้านบาท คาดจะรู้ผลประมูลงานไตรมาส 2 ปีนี้

ปัจจุบันมัณฑะเลย์มีท่าอากาศยานนานาชาติที่ใหญ่ที่สุดของพม่า รองรับผู้โดยสารได้มากกว่า 3 ล้านคนต่อปี ซึ่งในวันที่คณะของพวกเรา พร้อมผู้บริหารไฮโดรเท็คมาถึงสนามบิน ใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่งจากประเทศไทย ต้องยอมรับว่า พิธีการตรวจคนเข้าเมืองใช้เวลานานมาก คิวยาวเหยียด โดยเฉพาะการยื่นใบสำแดงของที่นำเข้าประเทศค่อนข้างวุ่นวายไม่เป็นระเบียบ บางคนตรวจ บางคนไม่ตรวจ

แต่สิ่งที่อดบ่นไม่ได้ เรื่องกระเป๋าที่โหลดมากับสายการบินโลว์คอสต์ที่พาคณะมาพม่า เมื่อยกมาจากสายพาน พบว่าอยู่ในสภาพมีรอยขีดข่วน มีสีติดเกือบทุกใบ บางใบลึกจนกินเนื้อกระเป๋า ส่วนกระเป๋าของตัวเอง ดูคร่าวๆ เหมือนไม่เป็นอะไรมาก แต่ก้นกระเป๋าพบว่ามีรอยแตก และสุดท้ายปิดล็อกไม่ได้ คาดมีการกระแทกอย่างแรง ซึ่งไม่ต้องถามหาเรื่องการเคลม เพราะได้รับการยืนยันจากเจ้าหน้าที่ภาคพื้นที่แล้วว่า ไม่ได้แน่นอน เพราะไม่มีการทำประกันไว้

มาเล่าต่อ... เมื่อคณะขึ้นมาบนรถบัส ออกจากสนามบิน เตรียมเข้าสู่โรงแรมที่พัก ทางไกด์สาวสวย กล่าวสวัสดีด้วยภาษาพม่า "มิงกะลาบา" และขอต้อนรับ "กดอว์" แปลว่าไฮโซ คุณหญิง คุณนาย ซึ่งได้สร้างเสียงเฮ! ให้กับคณะลูกทัวร์ชาวไทย เนื่องจากคำนี้พ้องเสียงกับคำของไทย "กระดอ" คงไม่ต้องบอกความหมาย ส่วนผู้หญิงที่มีการศึกษา เรียกว่า "ดอว์" พร้อมบอกเวลาที่นี่ช้ากว่าไทยครึ่งชั่วโมง ให้ทุกคนปรับนาฬิกาของตัวเอง เพื่อไม่ให้พลาดเวลานัด

จากนั้น ไกด์สาวได้เล่าการเติบโตของเมืองมัณฑะเลย์ ในวันนี้กำลังขยายถนนต้อนรับนักลงทุนทั้งหลาย โดยเฉพาะระบบการสื่อสารโทรคมนาคมที่เริ่มเข้ามา หรือใครอยากมีมือถือ ต้องควักจ่ายเงิน 2 พันบาท ซื้อซิมส่วนตัว เครื่องมือถือ บอกเลยแพงกว่าไทยประมาณ 3-4 พันบาท ซึ่ง 40 บาทของไทย เท่ากับ 1 พันจ๊าดของพม่า เพราะฉะนั้นคนที่สามารถซื้อได้ ต้องเป็น "กานดอ" จริงๆ ขณะที่รถยนต์ส่วนใหญ่เป็นมือสอง เท่าที่สังเกตจะเป็นยี่ห้อ โตโยต้า คราวน์ แต่อยู่ในสภาพใหม่ทีเดียว ยกเว้นเศรษฐี ลูกนายทหารชั้นผู้ใหญ่ นำเข้ารถหรูจากยุโรปมาวิ่งกันเลย

ระหว่างนั่งรถบัส พวงมาลัยซ้าย แต่พม่าขับเลนขวา... ขอบอก พบว่าสองข้างทางยังเป็นป่าหญ้า เมื่อเข้าตัวเมืองมา ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมง เริ่มมีตึก อาคารลักษณะอาคารพาณิชย์ 2 ชั้น แต่ไม่ใหญ่โต บนถนนเต็มไปด้วยรถจักรยานยนต์ ซึ่งตามตรอกซอกซอยเต็มไปด้วยร้านกาแฟ น้ำชา เนื่องจากพม่าเคยตกเป็นเมืองขึ้นของอังกฤษ จึงซึมซับวัฒนธรรมดื่มชากาแฟไปโดยปริยาย ไม่ต้องถามหาร้านอาหารตามสั่งเหมือนในเมืองไทย ขอบอกเลยมีน้อยมาก เพราะคนส่วนใหญ่รายได้น้อย จึงกินอยู่แบบประหยัด หากจ่ายเงินซื้ออาหารจานเดียว ตกประมาณจานละ 40 บาท คงไม่ไหว

...



เมื่อมาถึงโรงแรมระดับ 5 ดาว ก็ถือว่าหรูพอประมาณ มีไวไฟอินเทอร์เน็ตให้บริการแขกผู้เข้าพัก แต่ก็ต้องทำใจ เพราะล่มบ่อย จากนั้นได้เข้าห้องพัก สามารถติดตามข่าวสารจากเมืองไทยได้อย่างสะดวกสบาย เพราะทีวีที่นี่มีฟรีทีวีจากเมืองไทยครบทุกช่อง ต่อมาในช่วงเย็น คณะของพวกเราได้ไปเยือนวัดกุโสดอ หนึ่งในวัดที่สร้างในสมัยพระเจ้ามินดง ซึ่งบรรจุพระไตรปิฎก 84,000 พระธรรมขันธ์ ลงบนหินอ่อนกว่า 729 แผ่น และยังมีพระไตรปิฎกเล่มใหญ่ที่สุดในโลกอยู่ ณ วัดแห่งนี้



แน่นอน เมื่อมาวัดในพม่าต้องถอดรองเท้า ถุงเท้า ให้เรียบร้อย เพราะฉะนั้น จึงต้องถอดตั้งแต่อยู่บนรถ เดินเท้าเปล่าเข้าวัด กราบนมัสการสิ่งศักดิ์สิทธิ์ และแอ๊กชั่นถ่ายภาพกันถ้วนหน้า ก่อนขึ้นรถกลับ ทางไกด์ส่งผ้าเย็นให้ทุกคนทำความสะอาดเท้า และมุ่งหน้าไปร้านอาหารจีนชื่อดัง มื้อนั้นทุกคนหิวกันจนตาลาย... กินๆ เมนูส่วนใหญ่เป็นพวกผัดๆ ทอดๆ ไฮไลต์ก็น่าจะเป็นเมนูเป็ดของร้านนี้ สรุป "กดอว์" ไทย กินกันเกลี้ยงจาน

ก่อนกลับไปนอนพักที่โรงแรมเพื่อรีบตื่นในเช้าตรู่ วันรุ่งขึ้นตี 4 ครึ่ง ออกล่องเรือทวนน้ำตามลำน้ำอิรวดี ชมทัศนียภาพ 2 ฝั่ง มุ่งหน้าไปหมู่บ้านมิงกุน ส่วนหนึ่งของเมืองอมรปุระ ใช้เวลาประมาณชั่วโมงครึ่ง ตั้งแต่พระอาทิตย์ยังไม่ขึ้น จนสว่างแดดเปรี้ยง เมื่อเรือเทียบท่ามาถึงหมู่บ้านแห่งนี้ ต้องสะดุดตากับเศษซากของสิงห์คู่ เหมือนหินก้อนใหญ่มหึมาตั้งอยู่ทางซ้ายมือ และนั่นคือ ร่องรอยแห่งความทะเยอทะยานของพระเจ้าปดุง ที่ได้นำแรงงานทาสจำนวนมาก มาสร้างเจดีย์มินกุนด้วยอิฐให้ใหญ่อลังการ แต่งานก่อสร้างดำเนินไปได้เพียง 7 ปี พระเจ้าปดุงเสด็จสวรรคต หลังจากพ่ายแพ้ไทยในสงคราม 9 ทัพ เจดีย์แห่งนี้จึงเสร็จเพียงฐานสูง 50 เมตร จากที่ต้องการให้สูงถึง 152 เมตร ตามแผน

...

...



จากนั้น บรรดาไกด์วัยกระเตาะ เด็กหญิง เด็กชาย ต่างกรูเข้ามาดูแลนักท่องเที่ยว เพียงหวังได้เงินทิปอย่างน้อยคนละ พันจ๊าด ซึ่งด้วยความเป็นเด็กจึงได้รับความเอ็นดู ส่วนเรื่องภาษาอังกฤษที่ใช้สื่อ ถือว่าสอบผ่าน ก่อนนำทางพาไปชมระฆังที่ใหญ่ที่สุดในโลก ตั้งตระหง่านใกล้เจดีย์มินกุน ขนาดเส้นรอบวง 10 เมตร สูง 3.70 เมตร น้ำหนัก 87 ตัน ซึ่งพระเจ้าปดุงทรงไม่ต้องการให้มีใครสร้างระฆังเลียนแบบ จึงรับสั่งให้ประหารนายช่างทันทีที่สร้างเสร็จ

เมื่อชื่นชมระฆังใหญ่ที่สุดในโลกจนเต็มอิ่ม จึงเดินทางกลับโดยเรือลำเดิม ไกด์เด็กๆ ต่างเดินทางมาส่ง พร้อมโบกมือโบกไม้อำลาเป็นที่ประทับใจ ก่อนคณะของพวกเราจะมุ่งหน้าไปยังวัดมหากันดายงค์ วิทยาลัยสงฆ์ที่ใหญ่ที่สุดของพม่า ตั้งติดริมทะเลสาบตองตะมาน ใกล้สะพานอูเบง โดยก่อนช่วงฉันเพล พระภิกษุและเณรหลายร้อยรูปจะเดินเรียงแถวรับบิณฑบาต ซึ่งส่วนใหญ่ผู้มาทำบุญนิยมใส่ของแห้ง ดังนั้น จึงไม่มีการเปิดฝาบาตร แต่จะเปิดเฉพาะใส่ข้าวเท่านั้น

...



หลังทำบุญเสร็จ ก็มุ่งหน้าสู่สะพานอูเบง อายุ 200 กว่าปี เป็นสะพานไม้สักยาวที่สุดในโลก ระยะทาง 1.2 กม. สร้างขึ้นหลังจากที่ย้ายราชธานีจากอมรปุระไปยังมัณฑะเลย์ ปัจจุบันมีสภาพดี ผู้คนยังใช้เดินทางไปมาระหว่าง 2 ฝั่งของทะเลสาบตองตะมาน เดินทางไปกลับเบ็ดเสร็จประมาณครึ่งชั่วโมง



จากนั้น ได้เดินทางเที่ยวชมพระราชวังมัณฑะเลย์ ซึ่งบูรณะสร้างใหม่ หลังถูกอังกฤษวางระเบิดจนพังพินาศเป็นเถ้าถ่าน เหลือแต่กำแพงล้อมรอบ ซึ่งเดิมพระราชวังแห่งนี้ พระเจ้ามินดงได้สร้างขึ้นตามผังภูมิจักรวาลแบบพราหมณ์ปนพุทธ โดยสมมติให้เป็นศูนย์กลางของโลก มีกำแพงล้อมรอบทั้งสี่ทิศ แต่ละทิศมีประตูทางเข้า 3 ประตู รวมทั้งสิ้น 12 ประตู 

แม้วันนี้พระราชวังมัณฑะเลย์ จะไม่หลงเหลือสภาพของเก่าให้เห็น แต่ยังมีพระตำหนักไม้สักชเวนานดอร์ ตามแบบศิลปะพม่าแท้ๆ ให้คนรุ่นหลังได้ชื่นชมลวดลายแกะสลักอันสวยงาม สร้างโดยพระเจ้ามินดง เมื่อครั้งย้ายราชธานีจากอมรปุระมาที่เมืองมัณฑะเลย์ เพื่อเป็นตำหนักที่ประทับยามแปรพระราชฐาน



ส่งท้ายทริปทัวร์วันที่ 2 ไฮไลต์พลาดไม่ได้กับการชมวิวทิวทัศน์เมืองมัณฑะเลย์ และพระอาทิตย์ตกยามเย็นบนมัณฑะเลย์ฮิลล์ ซึ่งประดิษฐานพระบรมสารีริกธาตุ ต้องบอกเลย รถใหญ่ไม่สามารถขึ้นไปได้ เพราะฉะนั้น ต้องรถสองแถวเล็กเท่านั้น ในการขับขึ้นไปบนทางที่คดเคี้ยวลาดชัน ส่วนชาวพม่าผู้มีศรัทธาแรงกล้า จะเดินเท้าขึ้นเขาเป็นส่วนใหญ่ โดยไม่รู้จักเหนื่อย ก่อนขึ้นบันไดเลื่อนต่อขึ้นไปบนยอดเขาอีกต่อหนึ่ง บรรยากาศยามเย็นก่อนพระอาทิตย์ตก คราคร่ำไปด้วยนักท่องเที่ยวหลายชาติ สำหรับผู้พกพากล้องถ่ายรูปหรือมือถือถ่ายรูปได้ ต้องเสียค่าธรรมเนียมคนละ 1 พันจ๊าด ไม่เช่นนั้น จะไม่ได้รับอนุญาตให้ถ่ายรูปอย่างเด็ดขาด



เมื่อท่องเที่ยวกันทั้งวัน ยอมรับต่างหิวโหยและอ่อนเพลีย ดินเนอร์ยามเย็นไม่พ้นอาหารไทย รถบัสพาคณะไปยัง "ร้านต้มยำกุ้ง" ซึ่งเป็นที่นิยมของชาวพม่า คุณป้าเจ้าของร้านชาวอ่างทองมาเปิดร้านถึงที่นี่ สนนค่าเช่าต่อเดือน เดือนละ 2 หมื่นบาท จ่ายล่วงหน้า 5 ปี ถือว่าคุ้มมาก สำหรับเนื้อที่ไร่กว่า ส่วนเมนูพิเศษก็คือ กุ้งแม่น้ำเผาตัวโต ซึ่งร้านอาหารไทยส่วนใหญ่ในพม่าจะชูเป็นไฮไลต์ รองลงมาต้มยำรสแซบ และที่ขาดไม่ได้คือไข่เจียว



ปิดท้ายทริปมัณฑะเลย์วันที่ 3 ก่อนบินกลับไทย ต้องตื่นตี 2 ครึ่ง เข้าร่วมพิธีล้างพระพักตร์ พระมหามัยมุนี พระพุทธรูปทองคำขนาดใหญ่ ทรงเครื่องกษัตริย์ 1 ใน 5 สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในประเทศพม่า ถูกหล่อขึ้นในกรุงยะไข่ เมื่อปี พ.ศ. 689 สูง 12 ฟุต 7 นิ้ว และเป็นพระพุทธรูปที่รอดจากการทำลายจากสงครามโลก โดยพิธีเริ่มเวลา 03.45 น. มีโยคีเป็นผู้สวดมนต์ และมีพระสงฆ์เพียงรูปเดียวที่ได้รับเลือกให้ทำพิธีนี้ ซึ่งผู้ที่ไปร่วมพิธีจะนำดอกไม้มาบูชา



ที่สำคัญต้องไม่ลืมเตรียมขวดน้ำใบเล็กๆ และผ้าเช็ดหน้ามาด้วย เพราะหลังจากพระสงฆ์ทำพิธีล้างและเช็ดพระพักตร์เสร็จ ทางวัดจะแจกจ่ายน้ำทานาคาผสมไม้จันทน์หอมที่ใช้ล้างพระพักตร์ และผ้าเช็ดหน้าพระพักตร์ให้คนนำไปบูชาต่อที่บ้าน เป็นอันว่าเสร็จพิธี ก่อนกลับโรงแรมจัดข้าวของ เตรียมตัวบินกลับ กทม. ในช่วงบ่าย โดยสวัสดิภาพ และส่งท้ายด้วยภาษาพม่า "เจ๊ะ โจร แม่" หรือ "ต๊า-ตา" แปลว่า ลาก่อน.