รายงานล่าสุดจาก Mastercard Economics Institute (MEI) ฉบับ "Travel Trends 2025" เจาะลึกพฤติกรรมการใช้จ่ายของผู้บริโภคในแวดวงการเดินทาง เผยให้เห็นถึงความแข็งแกร่งอย่างต่อเนื่องของภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ที่ยังคงครองบัลลังก์จุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับฤดูร้อนถึง 8 แห่ง จาก 15 แห่งทั่วโลก 

ทั้งหมดสะท้อนถึงแรงดึงดูดอันน่าหลงใหลที่สามารถก้าวข้ามความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนและสถานการณ์ทางภูมิรัฐศาสตร์ โดยหัวใจสำคัญที่ขับเคลื่อนอุตสาหกรรมนี้ยังคงเป็น "Purposeful Travel" หรือการเดินทางที่มีจุดมุ่งหมายและสร้างประสบการณ์อันลึกซึ้ง

รายงานฉบับนี้ได้ทำการวิเคราะห์ข้อมูลธุรกรรมที่ไม่ระบุตัวตน ผสานรวมกับข้อมูลจากแหล่งภายนอก เพื่อฉายภาพที่ชัดเจนถึงปัจจัยที่กำหนดทิศทางการเดินทางในยุคปัจจุบัน 

ไฮไลต์สำคัญจากประเทศเอเชียแปซิฟิกที่น่าจับตามอง 

  • ญี่ปุ่นผงาดนำเทรนด์ ญาจางจากเวียดนาม เป็นดาวรุ่งพุ่งแรง

โตเกียว และ โอซากะ สองมหานครแห่งแดนอาทิตย์อุทัย ขึ้นแท่นอันดับ 1 และ 2 ของโลกในฐานะจุดหมายปลายทางยอดนิยมสำหรับช่วงฤดูร้อน (มิถุนายน - กันยายน 2568) ตอกย้ำความต้องการเดินทางที่เติบโตขึ้นอย่างโดดเด่นเมื่อเทียบกับช่วงก่อนหน้า โดยเฉพาะโตเกียวที่ก้าวขึ้นจากอันดับ 2 ในปี 2566 สู่บัลลังก์อันดับหนึ่ง สะท้อนถึงเสน่ห์ที่ไม่เสื่อมคลาย

ในขณะเดียวกัน ญาจาง เมืองชายทะเลที่สวยงามของเวียดนาม ก็ปรากฏตัวอย่างน่าประทับใจในทำเนียบจุดหมายปลายทางยอดฮิต ด้วยชายหาดทรายขาวละเอียด แนวชายฝั่งที่งดงาม และชีวิตชีวาของสถานบันเทิงยามค่ำคืนที่ดึงดูดนักเดินทางให้มาสัมผัสประสบการณ์ใหม่
จีนและอินเดีย สองขุมพลังแห่งการเดินทางระดับโลก

...

  • จีนแผ่นดินใหญ่ ยังคงรักษาตำแหน่งตลาดการท่องเที่ยวขาออกที่ใหญ่ที่สุดในโลกในปี 2567

นักท่องเที่ยวชาวจีนให้ความสำคัญกับจุดหมายปลายทางที่มอบความคุ้มค่าและสะดวกสบายด้านวีซ่า เช่น ญี่ปุ่น มาเลเซีย ไทย และสิงคโปร์ นอกจากนี้ ความสนใจในดินแดนแห่งอารยธรรมโบราณอย่างเอเชียกลาง ไม่ว่าจะเป็นคาซัคสถาน อุซเบกิสถาน และคีร์กีซสถาน ก็เพิ่มสูงขึ้นอย่างมีนัยสำคัญ

  • อินเดีย สร้างสถิติใหม่ด้วยจำนวนนักท่องเที่ยวขาออกที่สูงที่สุดเป็นประวัติการณ์ในปี 2567

นักเดินทางชาวอินเดียเปิดใจสำรวจจุดหมายปลายทางที่หลากหลาย โดยสามอันดับแรกคือ อาบูดาบี ฮานอย และบาหลี ซึ่งเป็นผลมาจากการเชื่อมต่อเที่ยวบินตรงที่เพิ่มขึ้น และชนชั้นกลางที่เติบโตอย่างรวดเร็วพร้อมแรงปรารถนาในการเดินทางที่สูงขึ้น เมื่อพิจารณารวมกัน ตลาดทั้งสองนี้ยังคงมีบทบาทสำคัญในการกำหนดภูมิทัศน์ของการเดินทางทั่วโลก

แรงบันดาลใจแห่งการเดินทางยุคใหม่ เน้นประสบการณ์เหนือสิ่งอื่นใด

นักเดินทางทั่วเอเชียแปซิฟิกให้ความสำคัญกับ "ประสบการณ์" มากกว่าการท่องเที่ยวแบบเดิม โดยมี อาหาร ธรรมชาติ และ การดูแลสุขภาพ เป็นแรงจูงใจหลักในการออกเดินทาง พวกเขาแสวงหาช่วงเวลาที่มีความหมายและเติมเต็มจิตใจ ไม่ว่าจะเป็น เกียนยาร์ ในบาหลี ประเทศอินโดนีเซีย ที่เลื่องชื่อเรื่องเมนูหมูหันบาบี กูลิง และ ควีนส์ทาวน์ ในนิวซีแลนด์ ที่ต้อนรับนักชิมจาก 44 ประเทศในปี 2567 ได้กลายเป็นจุดหมายปลายทางด้านอาหารระดับโลกที่ได้รับความนิยมอย่างสูง

จากข้อมูลของดัชนีแนวโน้มสุขภาพ (WTI) ของ MEI พบว่า ประเทศไทย เป็นผู้นำด้านประสบการณ์การพักผ่อนและการดูแลตนเอง (Wellness tourism) นักท่องเที่ยวสามารถดื่มด่ำกับธรรมชาติในรีสอร์ทที่เงียบสงบ หรือค้นหาความสงบภายในที่สถานปฏิบัติธรรม 

ในขณะเดียวกัน คะแนน WTI ที่เพิ่มขึ้นของ นิวซีแลนด์ บ่งชี้ถึงความมุ่งมั่นในการก้าวเข้าสู่กระแสการท่องเที่ยวเชิงสุขภาพนี้ แนวโน้มโดยรวมสะท้อนให้เห็นถึงความปรารถนาของผู้คนในการเดินทางที่บำรุงทั้งกายและใจ

เดวิด แมนน์ หัวหน้าฝ่ายเศรษฐศาสตร์ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิกของ Mastercard กล่าวว่า "เอเชียแปซิฟิกยังคงเป็นหัวใจสำคัญของการกำหนดทิศทางการเดินทางทั่วโลก ด้วยเมืองที่มีชีวิตชีวาอย่างโตเกียว เซี่ยงไฮ้ โซล และสิงคโปร์ ที่ดึงดูดนักเดินทางจากทั่วทุกมุมโลก แม้ว่าเศรษฐกิจจะยังคงมีความไม่แน่นอน แต่การเดินทางยังคงเป็นแรงขับเคลื่อนที่สำคัญ โดยได้รับแรงผลักดันจากผู้คนที่แสวงหาประสบการณ์ที่คุ้มค่าและมีความหมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของอัตราแลกเปลี่ยนหรือการเข้าถึงในภูมิภาค นักเดินทางกำลังตัดสินใจเลือกจุดหมายปลายทางและเหตุผลในการเดินทางอย่างชาญฉลาดและมีจุดมุ่งหมายมากขึ้น ซึ่งเป็นการเปลี่ยนแปลงไปสู่การเดินทางที่เป็นส่วนตัวและมีความหมายอย่างแท้จริง"

ความอ่อนไหวต่ออัตราแลกเปลี่ยน คือ ปัจจัยสำคัญในการตัดสินใจ

นักท่องเที่ยวจากเอเชียแปซิฟิกมีความอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนมากกว่าภูมิภาคอื่นๆ ค่าเงินเยนที่อ่อนค่าลงตลอดปี 2567 มีส่วนสำคัญในการกระตุ้นการท่องเที่ยวขาเข้าของญี่ปุ่น ทำให้เป็นจุดหมายปลายทางที่น่าดึงดูดสำหรับนักท่องเที่ยวที่มองหาความคุ้มค่า โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การอ่อนค่าของเงินเยน 1% เมื่อเทียบกับเงินหยวน ส่งผลให้นักท่องเที่ยวจากจีนแผ่นดินใหญ่เพิ่มขึ้นถึง 1.5% 

ในทางตรงกันข้าม นักท่องเที่ยวจากนิวซีแลนด์และสหรัฐอเมริกาตอบสนองต่อการอ่อนค่าในระดับเดียวกันเพียงประมาณ 0.2%

ปี 2567 จำนวนนักท่องเที่ยวชาวสิงคโปร์ที่เดินทางไปญี่ปุ่นพุ่งสูงเป็นประวัติการณ์ ซึ่งเป็นผลมาจากค่าเงินดอลลาร์สิงคโปร์ (SGD) ที่แข็งค่าขึ้นถึง 40% เมื่อเทียบกับเงินเยนญี่ปุ่น (JPY) แม้ว่าค่าโดยสารเครื่องบินและโรงแรมจะปรับตัวสูงขึ้นก็ตาม

...

สำหรับสหรัฐอเมริกา การวิเคราะห์ของ MEI ชี้ให้เห็นว่านักท่องเที่ยวจากอินเดีย สิงคโปร์ เกาหลีใต้ และไต้หวัน มีความอ่อนไหวต่อความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยนเป็นพิเศษ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง การที่ค่าเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD) อ่อนค่าลง 1% เมื่อเทียบกับสกุลเงินท้องถิ่น ส่งผลให้จำนวนนักท่องเที่ยวที่เดินทางไปสหรัฐอเมริกาเพิ่มขึ้นประมาณ 0.6–0.8% ซึ่งสอดคล้องกับการวิเคราะห์ก่อนหน้านี้เกี่ยวกับการท่องเที่ยวในญี่ปุ่น แสดงให้เห็นว่านักเดินทางเหล่านี้ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงของอัตราแลกเปลี่ยนได้ดีกว่าเมื่อเลือกจุดหมายปลายทาง

การปรับเปลี่ยนของการเดินทางเพื่อธุรกิจ

ปัจจุบันองค์กรต่างๆ กำลังปรับลดการเดินทางระหว่างประเทศ โดยหันมาให้ความสำคัญกับการเดินทางภายในภูมิภาคมากขึ้น และแม้ว่าจำนวนการเดินทางเพื่อธุรกิจโดยรวมจะลดลง แต่ระยะเวลาการเดินทางเฉลี่ยกลับยาวนานขึ้น สะท้อนถึงความพยายามในการบริหารจัดการงบประมาณการเดินทางอย่างมีประสิทธิภาพ ตัวอย่างเช่น การเดินทางของนักธุรกิจจากสหรัฐอเมริกาไปยังเอเชียแปซิฟิกเพิ่มขึ้นจาก 8.8 วัน เป็น 10.2 วัน

หัวใจสำคัญของการเดินทางยุคใหม่ คือ ความปลอดภัยและความน่าเชื่อถือ

ข้อมูลจาก MEI ชี้ให้เห็นว่า การฉ้อโกงในจุดหมายปลายทางยอดนิยมของนักท่องเที่ยวเพิ่มสูงขึ้นถึง 28% ในช่วงฤดูท่องเที่ยว รูปแบบการฉ้อโกงที่พบบ่อย ได้แก่ การคิดราคาเกินจริงในร้านอาหารและแท็กซี่ บริษัททัวร์ปลอม และรายชื่อที่พักที่ไม่น่าเชื่อถือ เพื่อรับมือกับภัยคุกคามเหล่านี้ Mastercard ได้นำเทคโนโลยีป้องกันการฉ้อโกงขั้นสูงมาใช้ รวมถึงกระเป๋าเงินดิจิทัลและระบบที่ขับเคลื่อนด้วย AI เพื่อปกป้องนักเดินทาง เพื่อให้พวกเขาสามารถมุ่งเน้นไปที่การสร้างประสบการณ์การเดินทางที่น่าจดจำได้อย่างไร้กังวล