ภูฏาน หนึ่งในประเทศที่เต็มไปด้วยวัฒนธรรมอันน่าค้นหา และเป็นอีกหนึ่งหมุดหมายที่ใครหลายคนปักหมุดว่าเป็นหนึ่งในสถานที่ท่องเที่ยวห้ามพลาด นอกจากภูมิประเทศที่สวยงามแล้ว ภูฏาน ยังมีเทศกาลที่น่าสนใจถึง 7 เทศกาล ให้ติดตามชมได้ตลอดทั้งปี
สำหรับเทศกาลทั้ง 7 ของภูฏานนี้ ถูกจัดอยู่ในปฏิทินเทศกาลแห่งชาติประจำปีของสภาการท่องเที่ยวภูฏานภายใต้สโลแกน 'Believe' ซึ่งเน้นย้ำถึงองค์ประกอบสำคัญดั้งเดิมของชาติ ทั้งด้านจิตวิญญาณ และระบบนิเวศ ผสมผสานภูมิปัญญาของอดีตเข้ากับความเชื่อมั่นในอนาคต
เทศกาลทั้ง 7 นี้แสดงให้เห็นถึงความรุ่มรวยแห่งวัฒนธรรมอันเป็นเอกลักษณ์ประจำชาติของภูฏาน และทุกคนที่ปรารถนาจะสัมผัสประสบการณ์ประเพณีการดำรงชีวิตประเทศนี้จะได้รับการต้อนรับอย่างอบอุ่นจากชาวภูฏาน
“เรารู้สึกตื่นเต้นที่จะได้มีโอกาสต้อนรับนักเดินทางจากทั่วโลกที่ต้องการมีส่วนร่วมในประสบการณ์สุดพิเศษจากการเฉลิมฉลองเทศกาลอันมีสีสันต่างๆ ของภูฏานที่จะสร้างเสียงหัวเราะ และความทรงจำไม่รู้ลืมให้กับคุณ ไม่ว่าเป็นเทศกาลเกี่ยวกับศาสนาอย่าง ปูนาคาเชชู (Punakha Tshechu) หรือเทศกาลสมัยใหม่อย่างเทศกาลดูนก” มร. ดอร์จี ดราดุล (Dorji Dhradhul) ผู้อำนวยการสภาการท่องเที่ยวแห่งภูฏานกล่าว
...
1. เทศกาล Punakha Dromche
เทศกาลแรกของปี คือ Punakha Dromche จัดขึ้นตั้งแต่วันที่ 16 ถึง 18 กุมภาพันธ์ของทุกปี ณ ลานกว้างในบริเวณป้อมปราการ Punakha Dzong ในเมือง Punakha (เมืองหลวงเก่าของภูฏาน) ซึ่งเป็นช่วงที่ดอก Jacaranda หรือดอกศรีตรังเริ่มเบ่งบาน และเป็นเทศกาลเดียวในประเทศที่จำลองเหตุการณ์การต่อสู้กับกองทัพทิเบตในช่วงศตวรรษที่ 17 ได้อย่างน่าทึ่ง โดยจะมี 'pazaps' คือทหารอาสาในท้องถิ่นแต่งกายด้วยเครื่องราชกกุธภัณฑ์การต่อสู้แบบดั้งเดิมในสมัยนั้น ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่ไม่มีกองกำลังติดอาวุธใดๆ มีเพียง 'tshochen' หรือกองกำลังพลจากหมู่บ้านใหญ่แปดแห่งจากเมืองทิมพูและพูนาคาออกมาสู้รบและขับไล่กองกำลังทิเบตที่บุกรุกเข้ามาเพื่อแย่งชิงพระธาตุรังจุง คารสะปะนี
หลังจากนั้นจะมีการสาธิต 'โนบุชูชานี' (norbu chushani) คือการนำพระธาตุไปแช่ในแม่น้ำโมจู เพื่อตบตาผู้รุกรานชาวทิเบต กล่าวกันว่า Zhabdrung Rinpoche ผู้รวมอนาจักรภูฏานในศตวรรษที่ 17 ได้ทิ้งสิ่งที่เสมือนพระธาตุเป็นตัวล่อลงในแม่น้ำ การสาธิตริมแม่น้ำนี้จะมีผู้คนหลายร้อยคนมารวมตัวกันในป้อมปราการ และในวันสุดท้ายของเทศกาล Punakha Dromche จะมีการลากชามทองแดงขนาดใหญ่ที่ลงจารึกด้วยพระคัมภีร์ไปที่ใจกลางลาน ในชามบรรจุด้วยเหล้าจนเต็มซึ่งจากนั้นจะนำไปอวยพร และแจกจ่ายให้กับผู้ที่เข้าร่วมงานเทศกาล
2. เทศกาล Punakha Tshechu
ถัดมาจะเป็นเทศกาล Punakha Tshechu ซึ่งจัดขึ้นเป็นเวลาสามวันที่ลานของ Punakha Dzong เช่นกัน ตั้งแต่วันที่ 19 ถึง 21 กุมภาพันธ์ของทุกปี เทศกาลนี้จัดขึ้นเพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อ รินโปเช (Guru Rinpoche) ปรมาจารย์พุทธตันตระ (หรือมหายานตันตระ) เป็นหนึ่งใน Tshechus ที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในประเทศ โดยจะมีการเต้นรำหน้ากาก หรือ 'cham' และการเต้นรำพื้นบ้านของชาวภูฏานแบบดั้งเดิม ผู้คนที่มาร่วมงานจะแต่งกายสวยงาม อีกทั้งยังนำอาหารกลางวันมาปิกนิก นั่งรับประทานและชมเทศกาลไปกับสมาชิกในครอบครัวไปด้วย
...
3. เทศกาล Paro Tshechu
สำหรับเดือนมีนาคม จะมีเทศกาล Paro Tshechu จัดขึ้นระหว่างวันที่ 21 ถึง 25 มีนาคม ณ รินปุง ซอง (Rinpung Dzong) ที่แปลว่า "ปราการกองแก้วมณี" เป็นอารามกึ่งปราการอันสวยงามในเมือง Paro เทศกาลนี้มีการเต้นรำสวมหน้ากาก และการเต้นรำพื้นบ้านของชาวภูฏานซึ่งแสดงโดยพระภิกษุและชาวบ้าน ไฮไลต์หลักของเทศกาลคือการคลี่ผ้าปักรูปของท่านรินโปเช (หรือ Throngdrel) ขนาดมหึมาในวันสุดท้าย ซึ่งบรรยายถึงการปรากฏองค์ทั้งแปดครั้งของท่าน โดยขนาดของผ้าปักนี้จะครอบคลุมทั้งกำแพงซึ่งมีความสูงเท่าตึกสามชั้น และจะมีผู้คนจำนวนมากเข้าคิวเพื่อชื่นชม และขอพรจาก Throngdrel ทุกปี
...
4. เทศกาล Rhododendron
ระหว่างวันที่ 13-14 เมษายน จะมีเทศกาล Rhododendron (กุหลาบพันปี) จัดขึ้นที่อุทยานหลวงพฤกษศาสตร์ (Royal Botanical Park) แห่งเมือง Lamperi ซึ่งอยู่ห่างจากทิมพูประมาณ 35 กม. เทศกาล 2 วันนี้ถือเป็นการเริ่มต้นฤดูใบไม้ผลิ และอวดโฉมกุหลาบพันปีหลากสายพันธุ์ภายในอุทยานที่บานสะพรั่งครอบคลุมพื้นที่ประมาณ 50 ตารางกิโลเมตร วัตถุประสงค์หลักของเทศกาล Rhododendron คือการเฉลิมฉลองพืชพรรณ วัฒนธรรม อาหารอันอุดมสมบูรณ์ของภูฏาน และสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับการเปลี่ยนแปลงสภาพภูมิอากาศ และการอนุรักษ์สิ่งแวดล้อม
...
ปัจจุบันกุหลาบพันปี (Rhododendron) มีถึง 46 สายพันธุ์ โดยอุทยานหลวงพฤกษศาสตร์ในเมือง Lamperi มีถึง 29 สายพันธุ์ รวมถึง 4 สายพันธุ์ที่ถือกำเนิดที่ภูฏาน ได้แก่ Rhododendron kesangiae, Rhododendron prinophyllum, Rhododendron Bhutanese และ Rhododendron flinckii
ในเทศกาลจะมีเกม การแสดงวัฒนธรรม และการละเล่นต่างๆ รวมถึงการเต้นรำสวมหน้ากาก การแสดงดนตรีพื้นเมืองของภูฏาน และการเต้นรำโดยเด็กนักเรียน และชาวบ้าน มีแผงขายสิ่งทอ และของที่ระลึก รวมถึงแผงขายอาหารรวมถึงอาหารและเครื่องดื่มที่ทำจากกุหลาบพันปี ซึ่งทั้งหมดนี้จัดขึ้นโดยชุมชนท้องถิ่น ผู้มาเยือนที่รักธรรมชาติสามารถไปอาบน้ำในป่า ตามเส้นทางเดินป่า Lungchutse ซึ่งใช้เวลาเดินจาก Dochula Pass ประมาณ 2 ชั่วโมง เป็นเส้นทางที่ร่มรื่นสวยงาม และในช่วงเทศกาลจะมีดอกกุหลาบพันปีบานสะพรั่งเต็มที่
5. เทศกาลนกกระเรียนคอดำ
เทศกาลนกกระเรียนคอดำประจำปีจัดขึ้นในวันที่ 11 พฤศจิกายนในหุบเขา Gangtey ซึ่งใช้เวลาเดินทางโดยรถยนตร์จากทิมพูไม่ถึงสี่ชั่วโมง เทศกาลนี้เป็นการเฉลิมฉลองการกลับมาภูฏานของนกกระเรียนคอดำที่บินมาจากทิเบต จีน และอินเดีย มาอาศัยอยู่ในหุบเขาแห่งนี้ในช่วงฤดูหนาว ผู้ร่วมเทศกาลจะมีโอกาสพิเศษได้ชมนกที่ยิ่งใหญ่เหล่านี้อย่างใกล้ชิด และยังจะได้รับชมการเต้นรำสวมหน้ากาก เช่น Drametse Ngachham (เต้นและตีกลองไปด้วย) Pachham (การเต้นรำของวีรบุรุษ) และ Zhana Ngachham (ระบำหมวกดำ) ในเทศกาลนี้ยังมีการแสดงทางวัฒนธรรมต่างๆ โดยนักเรียนของภูฎาน เพื่อเป็นการแสดงความเคารพต่อนกกระเรียนคอดำทั่วโลกที่เสี่ยงกับการใกล้จะสูญพันธุ์ นอกจากนั้นผู้มาร่วมงานยังสามารถสำรวจวัด Gangtey Goenpa เดินตามแนวป่าไปยังหุบเขาตอนล่าง และเรียนรู้เกี่ยวกับวิถีชีวิตในท้องถิ่นได้อย่างลึกซึ้ง
6. เทศกาลดูนกประจำปี
วันที่ 13-15 พฤศจิกายน ของทุกปี จะมีอีกหนึ่งเทศกาลดูนกประจำปีของภูฏาน ที่ Tingtibi ในเขต Zhemgang ซึ่งเป็นที่รู้จักในฐานะเมืองหลวงแห่งการท่องเที่ยวเชิงนิเวศของภูฏาน ใช้เวลาขับรถประมาณ 6 ชั่วโมงจากทิมพู ที่นี่เป็นที่อยู่ของนกมากกว่า 500 สายพันธุ์ รวมถึงนกอินทรีทะเลหัวนวล (Pallas's Fish Eagle), ไก่ฟ้าเขาแดง (Satyr Tragopan), นกเงือกคอแดง (Rufous-necked Hornbill), นกจู๋เต้นลายจุด (Spotted Elachura), นกกระเบื้องผา (Blue-capped Rock Thrush), นกคัคคูมรกต (Emerald Cuckoo), นกไต่ไม้ (Nuthatch) และนกกระสาท้องขาว (White-bellied Heron) ที่ใกล้จะสูญพันธุ์อย่างยิ่ง
เทศกาลดูนกเป็นเวลาสามวันนี้ มีวัตถุประสงค์เพื่อส่งเสริมการดูนกและการท่องเที่ยวเชิงอนุรักษ์ที่หรูหราในภูมิภาค และเพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจในท้องถิ่น ในเทศกาลจะมีการแสดงทางวัฒนธรรมและดนตรีบรรเลงโดยวงดนตรี นักเต้น และนักร้องท้องถิ่น การเต้นรำสวมหน้ากาก และการแสดงดนตรีพื้นเมืองของภูฏาน มีแผงขายอาหารที่นำเสนออาหารท้องถิ่นอันเป็นเอกลักษณ์ เช่น kharang (โจ๊กข้าวโพด) ปลารมควัน หน่อไม้ ผักดอง ผลไม้และซีเรียล และ tongpa - เครื่องดื่มแอลกอฮอล์ที่ทำจากข้าวสาลี - เสิร์ฟในภาชนะไม้ไผ่ ซึ่งเป็นที่ชื่นชอบของคนในท้องถิ่น และนักท่องเที่ยวชาวต่างชาติเป็นอย่างมาก
ภายในงานยังมีการจัดแสดงชิ้นงานทอจากอ้อย และไม้ไผ่ ประเภทของใช้ในครัวเรือน ภาชนะใส่สิ่งของ ซองใส่ธนู จานชาม และภาชนะใส่เครื่องประดับ ผู้เยี่ยมชมยังสามารถเข้าร่วมการแข่งขันวาดภาพและเล่นเกมแบบดั้งเดิม และเพลิดเพลินกับการเดินป่าไปตามเส้นทางดูนกที่สวยงาม นอกจากนั้นยังเลือกไปแช่บ่อน้ำพุร้อนเพื่อการบำบัด และตกปลาเพื่อความบันเทิง (จับและปล่อย) โดยใช้กับดักในท้องถิ่น หรืออุปกรณ์ฟลายฟิชชิ่ง และยังสามารถไปล่องแก่งในลุ่มน้ำ Mangde Chhu และ Drangme Chhu ได้อีกด้วย
7. เทศกาล Druk Wangyel Tshechu
วันที่ 13 ธันวาคมของทุกปี ภูฏานจะมีเทศกาล Druk Wangyel Tshechu จัดขึ้นที่ Dochula Pass ซึ่งอยู่ห่างจากเมืองทิมพูเพียง 45 นาทีทางรถยนต์ ท่ามกลางฉากหลังอันน่างดงามอย่างน่าทึ่งของเทือกเขาหิมาลัย มีการเต้นรำอันศักดิ์สิทธิ์มากมายในเทศกาลนี้ เพื่อบอกเล่าถึงความกล้าหาญ และความเสียสละของกองทัพหลวงภูฏาน เทศกาลนี้มีการเต้นรำหน้ากาก และการเต้นรำพื้นบ้านของชาวภูฏาน ในช่วงเทศกาลจะมีการเต้นรำอันเป็นเอกลักษณ์หลายอย่าง ซึ่งแตกต่างจากเทศกาลทางศาสนาอื่นๆ ทั่วประเทศ รวมถึง Gadpo และ Ganmo ถือเป็นเต้นรำที่ได้รับความนิยมมากที่สุดอย่างหนึ่งในเทศกาลนี้ เป็นการเต้นรำของชายและหญิงสูงอายุ การเต้นรำของวีรบุรุษ และการเต้นรำของเทพผู้พิทักษ์ ซึ่งจัดแสดงเพื่อแสดงความเคารพต่อผู้พิทักษ์หลักเทพแห่งธรรม
ทั้งนี้ ภูฏาน “บีลีฟ” (Bhutan Believe) เป็นแบรนด์ และสโลแกนใหม่ของประเทศภูฏาน เน้นย้ำความเชื่อของประเทศเรื่องอนาคตที่ดีกว่า น้อมนำโดยภูมิปัญญาจากคนรุ่นเก่า “บีลีฟ” เป็นเรื่องเกี่ยวกับความเชื่อในอนาคตของภูฏาน เช่นเดียวกับศักยภาพ ความเป็นไปได้ และโอกาสที่ภูฏานนำเสนอให้กับโลกที่มีการพัฒนาอย่างรวดเร็ว อีกทั้งยังเกี่ยวกับการเชื่อในคุณค่า ความสามารถ การมีส่วนร่วม และศักยภาพของพลเมืองของประเทศ
การยื่นขอวีซ่า หรือใบอนุญาตไปภูฏานนั้นสามารถทำได้ง่ายดาย นักท่องเที่ยวทุกคนจะต้องมีวีซ่า และใบอนุญาตก่อนเดินทางไปภูฏาน โดยสมัครทางออนไลน์ หรือผ่านทางบริษัททัวร์ภูฏาน โดยใช้เวลาประมาณ 5 วันในการดำเนินการ ยกเว้นนักท่องเที่ยวจากอินเดีย มัลดีฟส์ และบังกลาเทศ ที่สามารถยื่นขอ ณ วันที่เดินทางมาถึงได้
ผู้มาเยือนทุกคนจะต้องชำระค่าธรรมเนียมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (Sustainable Development Fee - SDF) ของภูฏานเป็นจำนวน 100 ดอลลาร์สหรัฐต่อคนต่อคืน (มีอัตราลดหย่อนสำหรับเด็ก) และค่าธรรมเนียมในการขอวีซ่าจำนวน 40 ดอลลาร์สหรัฐ จะใช้ได้เพียงหนึ่งครั้ง และไม่สามารถขอคืนได้ สำหรับชาวอินเดียจะต้องชำระค่า SDF เป็นจำนวน 1,200 รูปีต่อคนต่อคืน
ค่าธรรมเนียมเพื่อการพัฒนาที่ยั่งยืน (SDF) จะถูกนำมาใช้เป็นทุนสนับสนุนโครงการด้านวัฒนธรรม สิ่งแวดล้อม สุขภาพ และการศึกษาทั่วประเทศภูฏาน ดูข้อมูลเพิ่มเติมได้ที่: www.bhutan.travel
สำหรับผู้ที่สนใจไปท่องเที่ยวประเทศภูฏาน สามารถศึกษาข้อมูลอื่นๆ เพิ่มเติมได้ที่เว็บไซต์ https://bhutan.travel/ และติดตามข่าวสารผ่านช่องทาง Facebook และ Instagram ของกรมการท่องเที่ยวแห่งประเทศภูฏาน.
ที่มาภาพ : กรมการท่องเที่ยวแห่งประเทศภูฏาน