"จุลพงษ์ โนนศรีชัย"เอกอัครราชทูตไทยประจำออสโล(กลาง)เปิดสถานทูตฯต้อนรับคณะเดินทาง นำโดย เป้-อารักษ์ กับคุณแม่แป๊ด.รัตนาวลี โลหารชุน และปรีชา นะวงศ์ ผจก.ทั่วไปการบินไทย เดนมาร์ก.
อันเป็นผลมาจากชายฝั่งถูกธารน้ำแข็งกัดเซาะจนเว้าแหว่ง และถูกแทนที่ด้วยน้ำทะเล ซึ่งไม่ได้มีแค่ "นอร์ทเคป" กับ "พระอาทิตย์ เที่ยงคืน" เท่านั้น ...
คนส่วนใหญ่ที่ไปเที่ยว นอร์เวย์ มักจะใฝ่ฝันว่าต้องพิชิต "นอร์ทเคป" ขึ้นไปชมพระอาทิตย์เที่ยงคืนให้ได้ เพราะเป็นปรากฏการณ์ธรรมชาติที่หาชมไม่ได้ที่ไหนในโลก เป็นช่วงเวลาที่โลกเอียงเอาขั้วโลกเหนือเข้าหาดวงอาทิตย์ ทำให้ได้รับแสงสว่างตลอด 24 ชั่วโมงนานนับเดือน 
อย่างไรก็ดี ประเทศนอร์เวย์ไม่ได้มีดีแค่ "นอร์ทเคป" กับ "พระอาทิตย์ เที่ยงคืน" เท่านั้นนะคะ แต่แดนไวกิ้งยังมีความหลากหลายของธรรมชาติงดงามตระการตา อุดมด้วยป่าไม้ ภูเขา น้ำตก ทะเลสาบ ลำธารน้อยใหญ่ และด้วยภูมิประเทศที่เป็นรูปร่างยาวเลาะไปตลอดชายฝั่งทะเลนอร์วีเจียน ซึ่งเต็มไปด้วยลักษณะเว้าแหว่งมากมายลึกเข้าไปในแผ่นดิน ทำให้นอร์เวย์ เป็นประเทศที่มี "ฟยอร์ด" ใหญ่ที่สุดและสวยที่สุดในโลก อันเป็นผลมาจากชายฝั่งถูกธารน้ำแข็งกัดเซาะจนเว้าแหว่ง และถูกแทนที่ด้วยน้ำทะเล 
ต้องยอมรับค่ะว่าโชคดีเหลือเกินที่ได้รับเชิญจากการบินไทย ภายใต้การนำของ "คุณไก่-รัตนาวลี โลหารชุน" ผู้อำนวยการฝ่ายบริหารตราผลิตภัณฑ์และสื่อสารการพาณิชย์ การบินไทย ร่วมกับอินโนเวชั่น นอร์เวย์ พาคณะสื่อมวลชนไทยเดินทางด้วย บัตรไทย แวลูพลัส ออส-โล ไปชมความมหัศจรรย์ ทั้งหมดข้างต้น เพื่อร่วมสัมผัสความเหนือชั้นของเส้นทางบินใหม่ กรุงเทพฯ-ออสโล ที่เปิดบริการอย่างเป็นทางการเมื่อกลางเดือน มิ.ย.ที่ผ่านมา ด้วยเครื่องบินแอร์บัส A340-500 ที่นั่งกว้างขวางนอนสบาย 
ทริปนี้ยิ่งพิเศษตรงที่ได้พระเอกมาดติสต์ "เป้-อารักษ์ อมรศุภศิริ" กับ "คุณแม่แป๊ด-ระเบียบ ศรียี่ทอง" ร่วมเดินทางไปด้วย ทำให้ได้สีสันและความสนุกสนานไปอีกแบบ เพราะไม่ว่าจะแวะเมืองไหน ถ้าเจอสาวไทยในต่างแดนเป็นต้องกรูเข้ามาขอถ่ายรูปกับคุณชายเทวดา 
เกริ่นมาเยอะแยะ ถึงเวลาออกเดินทางจริงแล้ว ชาวคณะพร้อมกันที่สนามบินสุวรรณภูมิเพื่อเช็กอินในช่องเฟิร์สต์คลาส ออกเดินทางโดยเที่ยวบิน TG 954 เหินฟ้าจากกรุงเทพฯตรงสู่ท่าอากาศยานกรุงออสโล ประเทศนอร์เวย์ ด้วยเวลาเพียง 11 ชั่วโมง เป็นการเดินทางที่สบายกำลังดี ไม่รู้สึกเหนื่อยล้าแต่อย่างใด เรียกว่าเดินทางถึงนอร์เวย์ปั๊บ เข้าไปเก็บกระเป๋า ล้างหน้าล้างตาที่โรงแรม ก็พร้อมออกตะลุยชมเมืองออสโลได้ทันที ประเทศนอร์เวย์เวลาช้ากว่าบ้านเรา 5 ชั่วโมง คณะของเราเดินทางไปช่วงปลายเดือน ก.ค.ที่ผ่านมา ตรงกับซัมเมอร์พอดี อากาศจึงเย็นสบาย มีแดดอ่อนๆสลับกับฝนตกในบางวัน 
จุดแรกที่แวะไปชมกันคือ พิพิธภัณฑ์ศิลปะ THE MUNCH MUSEUM จัดแสดงผลงานชิ้น มาสเตอร์พีซของศิลปินชื่อก้องโลกชาวนอร์เวย์ "เอ็ดเวิร์ด มุนช์" รวมถึงผลงานศิลปะที่เขาสะสมไว้และได้ มอบให้เทศบาลกรุงออสโลเป็นสมบัติของรัฐ ก่อนจะเสียชีวิตเมื่อปี 1944 พิพิธภัณฑ์แห่งนี้เปิดให้บริการในปี 1963 ประกอบด้วยคอลเลกชั่นเพนติ้ง 1,100 ชิ้น ภาพดรออิ้ง 4,500 ชิ้น และภาพพรินต์ 18,000 ชิ้น ผลงานสร้างชื่อมีอาทิ THE SCREAM, MADONNA และ THE DANCE OF LIFE งานส่วนใหญ่ของเขาเต็มไปด้วยความหม่นเศร้า หดหู่ หมกมุ่นกับตัวเอง ความรักที่ไม่สมหวังและความตาย เป้าหมายต่อไปที่ไกด์ชาวนอร์เวย์พาไปชมคือ อุทยานวิเกอแลนด์ ตั้งอยู่ในสวนสาธารณะฟร็อกเนอร์ เดินผ่านรั้วเข้าไปแล้วต้องอุทานว่า อะเมซซิ่งจริงๆ!! เพราะตลอดสองข้างทางเรียงรายไปด้วยประติมากรรมยักษ์ รูปมนุษย์ในอิริยาบถต่างๆนับ 100 ชิ้น สร้างสรรค์โดยประติมากรเอก "กุสตาฟ-วิเกอแลนด์" ต้องใช้เวลากว่า 40 ปี ในการแกะสลักหินแกรนิตและโลหะผสม สำหรับชิ้นเด่นมีคนเข้าคิวรอถ่ายรูปคือ รูปปั้นเด็ก Angry กับรูปปั้นวัฏจักรชีวิตมนุษย์ ที่มีความสูงถึง 17 เมตร เป็นรูปคนจำนวนมากปีนป่ายอยู่บนเสาสูง 
ท้องชักจะร้องจ๊อกๆ เพราะได้เวลาอาหารเย็นที่เมืองไทย แต่ตรงกับตอนเที่ยงของนอร์เวย์ มื้อแรกพาไปชิม "กุ้งต้มสไตล์ ไวกิ้ง" ตัวเล็กกว่าบ้านเรา แต่อัดแน่นไปด้วยไข่กุ้ง เวลาทานแค่บีบเลมอนเล็กน้อย และแกะเปลือกใส่ปากตัวต่อตัว เผลอแป๊บเดียวเปลือกกุ้งกองเป็นภูเขา อีกเมนูขึ้นชื่อของนอร์เวย์คือ "ซุปปลาแซลมอน" ตักคำแรกอร่อยกลมกล่อมดี แต่ทานไปทานมาชักเค็มลิ้น ถามเจ้าภาพได้ความว่า คนแถวนี้ชอบทานเค็มจัด เพราะสมัยก่อนจนมาก ทำไร่ทำนาเป็นหลัก เวลาตกปลาได้จึงต้องใส่เกลือเยอะๆเพื่อถนอมอาหาร ถึงแม้ตอนหลังจะรวยน้ำมัน เพราะขุดพบน้ำมันนอกชายฝั่งทะเลได้เมื่อเกือบ 40 ปีก่อน จนกลายเป็นผู้ส่งออกน้ำมันรายใหญ่อันดับสองของโลก แต่ชาวนอร์เวย์ก็ยังไม่ทิ้งนิสัยกินเค็ม
บ่ายวันนี้โปรแกรมหลักคือ เยี่ยมชม ที่ทำการมูลนิธิรางวัลโนเบล สาขาสันติภาพ ถือเป็นรางวัลทรงเกียรติสูงสุดที่มอบให้บุคคลมีชื่อเสียง ซึ่งทำงานเพื่อสันติภาพ จัดขึ้นวันที่ 10 พ.ย.ของทุกปี ณ ศาลาว่าการกรุงออสโล ผู้ให้กำเนิดมูลนิธินี้คือ "อัลเฟรด เบอร์นาร์ด โนเบล"
ตามที่สัญญากันไว้ ค่ำวันนี้มีโปรแกรมนั่งรถบัสขึ้นไปทาน "สเต๊กเนื้อกวางเรนเดียร์" บนยอดเขา พร้อมชมทิวทัศน์เมืองออสโล น่าเสียดายที่หมอกลงจัดจนมองไม่เห็นทัศนียภาพ แต่ก็ได้บรรยากาศโรแมนติกไปอีกแบบ พอเมนูที่รอคอยเสิร์ฟบนโต๊ะ เหล่าพี่ไทยตั้งวงวิเคราะห์กันใหญ่ สรุปว่าหน้าตาคล้ายเนื้อเป็ดกับตับวัว แต่พอจิ้มเข้าปากจริงๆกลับร้องอื้อหือ เนื้อนุ่มๆไม่เหม็นสาบเลย
อีกหนึ่งเส้นทางท่องเที่ยวที่สวยงาม เป็นที่นิยมคือ การนั่งรถไฟสายโรแมนติก ที่สถานีรถไฟไมดรัล ซึ่งเป็นเส้นทางสั้นๆที่แยกจาก "ไมดรัล" ไป "เมืองฟลัม" ใช้เวลาเดินทาง 1 ชั่วโมง ถือเป็นเส้นทางที่สวย และโรแมนติกที่สุดในโลก หาที่ไหนเทียบไม่ได้ ตั้งอยู่ระหว่างเส้นทางรถไฟจาก "ออสโล" ไปยัง "เบอร์เกน" เมืองมรดกโลกอันโด่งดัง เส้นทางรถไฟสายนี้ได้รับการยกย่องให้เป็นต้นแบบของสุดยอดนวัตกรรมก่อสร้าง ทางรถไฟบนภูเขามีลักษณะเป็นเกลียวไต่ระดับจากที่ราบสูงไมดรัล ลงไปตามหุบเขาที่แคบชันสู่เมืองฟลัม เมืองเล็กๆที่อยู่ลึกสุดของอาร์แลนด์ฟยอร์ด โดยมีอุโมงค์เป็นระยะ ทำให้ได้ชมทัศนียภาพของเทือกเขา ป่าเขาลำเนาไพร หุบเขา ยอดเขาที่ปกคลุมด้วยหิมะและน้ำตกขนาดมหึมา กระนั้น ด้วยเทคนิคก่อสร้างสลับซับซ้อน ทำให้เส้นทางสายนี้ต้องใช้เวลาสร้างนานถึง 20 ปี
ไฮไลต์ของทริปอะเมซซิ่งนอร์เวย์ไม่หมดแค่นี้ ยังมี โปรแกรมล่องเรือครุยส์สุดหรู จากเมืองฟลอมไปยังกุดแวนเกน เพื่อชมฟยอร์ด ให้ได้ตื่นตาตื่นใจ ใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมง เพื่อให้ได้ชมความงดงามตระการตาของ Sognefjord ฟยอร์ดที่มีความยาวและลึกที่สุดของนอร์เวย์ เส้นทางนี้เป็นพื้นที่อนุรักษ์ และยูเนสโกยกให้เป็นมรดกโลก ทั้งนี้ เพื่อความสะดวกในการเดินทาง ควรซื้อโปรแกรมทัวร์ Sognefjord in a nutshell ครอบคลุมทั้งเส้นทางรถไฟสายโรแมนติกและการนั่งเรือชมฟยอร์ด 
แม้จะเดินทางตั้งแต่เช้าจดค่ำ ทั้งขึ้นรถไฟลงเรือต่อรถบัส แต่ชาวคณะก็ไม่บ่นสักแอะ เพราะคุ้มยิ่งกว่าคุ้มที่ได้เห็นทัศนียภาพยิ่งใหญ่ของนอร์เวย์ โดยจุดหมายปลายทางต่อไปคือการขึ้นรถบัสจากกุดแวนเกนไปเมืองวอส เพื่อต่อรถไฟมุ่งสู่เมืองเบอร์เกน ขึ้นรถไฟปั๊บ ผลจากอาการเพลียแดดเพลียฝนทำให้หลับยกก๊วน มาสะดุ้งตื่นอีกทีก็ตอนได้ยินเสียงประกาศว่า ถึงสถานีรถไฟเบอร์เกนแล้ว!!
เมืองมรดกโลก "เบอร์-เกน" ขึ้นชื่อเรื่องฝนชุกตลอดปี ทันทีที่ก้าวออกจากสถานีรถไฟ เตรียมขึ้นรถบัสเข้าโรงแรม ฝนก็ตกซู่ใหญ่จนกางร่มแทบไม่ทัน ไกด์สาวเห็นว่าดึกแล้วจึงขอเปลี่ยนโปรแกรมเล็กน้อย พาไปทานอาหารค่ำก่อนค่อยเข้าเช็กอิน ดินเนอร์ มื้อนี้ต้องนั่งรถรางไฟฟ้าขึ้นเขา (อีกแล้ว) ไปทาน "สเต๊กปลาแซล-มอน" กับ "ซาชิมิเนื้อวาฬ" ของแพงของอร่อยประจำถิ่น ชิมกันคนละคำสองคำ รสชาติคล้ายหอยแครง แต่กลิ่นคาวกว่าหลายเท่า ต้องอาศัยวาซาบิช่วยกลบเกลื่อน
"เบอร์เกน" เคยเป็นเมืองหลวงเก่าของนอร์เวย์ มีอายุเก่าแก่ 1,000 ปี และเป็นหนึ่งในเก้าเมืองหลวงทางวัฒนธรรมของยุโรปเคยเป็นเมืองท่าศูนย์กลางการค้าของยุโรปเหนือ มีสถานที่ท่องเที่ยวน่าสนใจมากมาย โดยเฉพาะ ย่านการค้าเก่าแก่ของเมือง อายุกว่า 900 ปี เป็นอาคารไม้ 3 ชั้น สารพัดสีสัน ตั้งเรียงรายขนานไปกับท่าเรือ แต่ละหลังมีช่องทางเดินเชื่อมต่อถึงกัน มีบันไดขึ้นไปยังห้องเก็บสินค้าชั้นบน และมีหลังคารูปทรงหน้าจั่ว เมื่อ 30 ปีที่แล้วได้รับเลือกจากยูเนสโกให้เป็นมรดกโลก เพราะเป็นอาคารเก่าทำจากไม้ที่ยังรักษารูปแบบสถาปัตยกรรมดั้งเดิมไว้ได้ดีเยี่ยม มีการบันทึกว่า ล้นเกล้าฯรัชกาลที่ 5 เคยเสด็จฯประพาสเมืองเบอร์เกนมาแล้วเมื่อ 100 กว่าปีก่อน
ถ้าใครชอบบรรยากาศตอนเช้าของตลาดพื้นเมือง แนะนำให้เดินเลียบท่าเรือไปเที่ยว ตลาดปลาใหญ่ที่สุดของนอร์เวย์ มีสินค้าทั้งปลาสด ปลาแห้ง ไข่ปลาคาเวียร์ คิงแคร็บ เนื้อวาฬ และสารพัดสัตว์ทะเล ตั้งเป็นแผงเรียงยาวตลอดสองข้างทาง ราคาต่อรองได้ แถมพ่อค้าแม่ค้ายังทันสมัย มีอุปกรณ์แพ็กให้เรียบร้อยพร้อมนำขึ้นเครื่องเดินทางกับบัตรไทย แวลูพลัส ออสโล ตั้งแต่วันนี้ถึงสิ้นเดือน ก.ย.2552 นอกจากจะซื้อบัตรโดยสารในราคาพิเศษแบบพรีเพดสำหรับ2 ที่นั่ง เพียงชุดละ 130,000 บาท ในชั้นธุรกิจ และชุดละ 77,000 บาท ชั้นประหยัดพรีเมียม รวมภาษีสนามบินและค่าธรรมเนียมทุกประเภทแล้ว พวกเราชาวคณะยังสามารถเลือกบินกลับจาก 3 เมืองใหญ่ของสแกนดิเนเวีย คือ ออสโล โคเปนเฮเกน หรือสตอกโฮล์มได้ตามใจชอบ...ไฮโซระดับนี้แล้ว ขออนุญาตบินไปโคเปนเฮเกนทักทายกับนางเงือกน้อย และเที่ยวสวนสนุกทิโวลีสักหนึ่งวัน แล้วค่อยบินจากเดนมาร์กกลับเมืองไทย...สบายใจจัง แฮปปี้กันทั่วหน้า!!
ทีมข่าวหน้าสตรี
...