ยามมองจากหอสูง แค่มุมหนึ่งของปูซาน ก็จะเห็นถึงความหนาแน่นของอาคารบ้านเรือน.

การได้กลับไปเกาหลีใต้ในเวลาห่างจากเดิมไม่มาก ที่จริงก็เป็นเรื่องเหนือความคาดหมายอยู่แล้ว แต่ยังมีอะไรมากกว่านั้น เมื่อจุดหมายปลายทางคราวนี้ ไม่ได้อยู่ที่กรุงโซล นครหลวงของเกาหลีใต้ หากแต่เป็นที่ ปูซาน เมืองใหญ่อันดับสองรองจากกรุงโซล และเป็นเมืองท่าสำคัญทางตอนใต้ของประเทศ เพียงแต่การเดิน ทางมาโดยตรงค่อนข้างจำกัด เพราะเที่ยวบินตรงจากไทยมีน้อย ดังนั้น ทางเลือกที่ทำได้คือ มาลงที่สนามบินอินชอน แล้วนั่งรถโค้ชต่อไปอีกไม่ต่ำกว่า 5 ชั่วโมง


ปูซาน แม้เป็นเมืองใหญ่ แต่มีความแออัดค่อนข้างมาก เห็นได้ชัดยามมองลงมาจาก หอสูง สภาพอาคารบ้านเรือนที่แน่นขนัด แต่ทางการปูซานก็พยายามหาจุดขาย ดึงความทันสมัยบวกการดีไซน์เข้ามาในตึกที่สร้างขึ้นใหม่ หลายแห่งกลายเป็นเหมือนสัญลักษณ์ของเมือง เช่น อาคารโนริมารุ เอเปค เฮ้าส์

...

แต่ที่น่าเที่ยวกลับอยู่ที่เคียงจู นครโบราณแห่งอาณาจักรชิลลา...ซึ่งอยู่ก่อนถึง ปูซาน ไม่ไกลมี คำกล่าวกันว่า เคียงจู เปรียบเสมือนบานหน้าต่าง เปิดให้เห็นความรุ่งโรจน์ในอดีตของอาณาจักรชิลลาเมื่อราวพันปีที่ผ่านมา อาณาจักรชิลลามี เคียงจู เป็น เมืองหลวงและเป็นศูนย์กลางของยุคทองแห่งวัฒนธรรม ปัจจุบันจะหลงเหลือโบราณสถานไว้เป็นอนุสรณ์แห่งความเรืองรองอยู่มากมาย อาทิ เนินฝังพระศพกษัตริย์ วัดเก่าแก่อายุนับพันปี ซึ่งในบรรดาวัดเก่าแก่ของเคียงจู บูลกุกซา เป็นศาสนสถานนิกายมหายานที่ได้ชื่อว่าสวยงามที่สุด


วัดบูลกุกซา ได้รับการยกย่องจากยูเนสโกให้ เป็นมรดกทางวัฒนธรรมอันล้ำค่าของโลก พร้อมๆกับศาสนสถานอีกแห่งคือ ถ้ำช็อกคูรัม ตั้งอยู่บนด้านหนึ่งของภูเขาโตฮัมซัน ทางทิศตะวันออกของเมืองเคียงจู จุดเด่นของถ้ำช็อกคูรัม   อาคารหลักสร้างด้วยหินแกรนิตมีลักษณะเป็นรูปโดม ภายในถ้ำประดิษฐานพระพุทธรูปหินอ่อนขนาดใหญ่

ความที่มีร่องรอยแห่งประวัติศาสตร์ให้เห็นกระจัดกระจายอยู่ทั่วไปใน เมืองและตามภูเขาที่ล้อมรอบตัวเมืองนี้เอง ทำให้ เคียงจู ได้รับสมญานามว่า พิพิธภัณฑ์ที่ไร้กำแพง

นอกจากนี้ ออกไปทางนอกเมือง ยังมีหมู่บ้านที่แสดงวิถีชีวิต ของคนท้องถิ่น ที่ยังคงทำการเกษตรเป็นหลัก และรักษาสภาพบ้านเรือน ที่ตั้งอยู่บนเนินเขาไว้ได้อย่างดี โดยบ้านบางหลังมีอายุหลายร้อยปี

หลังจากปักหลักพักอยู่ที่เคียงจูและปูซานมาหลายวัน ก็ถึงเวลาเดินทางย้อนกลับมาที่กรุงโซล ซึ่งคราวนี้ก็ได้ความประทับใจไปอีกแบบ เพราะการที่ไกด์ท้องถิ่นจะพาเที่ยวชมพระราชวังเคียงบ็อค ในวันที่ปิดทำการ ทำให้มีเวลาเหลือเฟือพอที่จะให้ไกด์จำเป็นพามาเดินเตร่อยู่ในเมียงดง ย่านช็อปปิ้งยอดฮิตของทัวร์ไทย ก่อนได้นั่งรถไฟฟ้ากลับไปร่วมคณะ ณ อีกฝั่งของแม่น้ำฮาน


การได้นั่งรถไฟฟ้าเที่ยวนี้นี่แหละ ถือเป็นประสบการณ์เหนือความคาดหมายอย่างหนึ่ง เพราะทำให้ได้เห็นชีวิตของ "โซล" ในช่วงเวลาเร่งรีบและไร้เปลือกปรุงแต่ง ต้องยอมรับว่าระบบขนส่งมวลชนของโซลเข้าขั้นเยี่ยมยุทธ์ทีเดียว เพราะนอกจากโครงข่ายเหมือนใยแมงมุมแล้ว แม้ต้องไปหลายต่อกว่าจะถึงที่หมาย แต่ก็ตีตั๋วหนเดียว ในราคาที่ถูก และช่วยย่นเวลาการ เดินทางไปเยอะ ถือเป็นหัวใจของระบบขนส่ง (เพื่อ) มวลชนจริงๆ จนมีเวลาไปเดินทอดน่องดูชีวิตผู้คนที่มาทำสารพัดกิจกรรมริมแม่น้ำยามสนธยา ได้อีกเป็นชั่วโมง

ประสบการณ์ใหม่ๆ ที่ได้จากการกลับมาโซลอีกครั้งไม่ได้หมดแค่นี้ เพราะทันทีที่เข้าที่พักแล้วไกด์บอกลาด้วยหมดภาระหน้าที่แล้วนั้น ทำให้การเดินทางกลับบ้านในวันรุ่งขึ้น ได้สีสันไปอีกแบบ เมื่อต้องลากกระเป๋าและ สัมภาระออกจากโรงแรม   เดินหาป้ายรถบัสประจำทางที่จะพาไปส่งสนามบินอินชอน ซึ่งถือเป็นทางเลือกที่ ประหยัด ในการเดินทางไปสนามบิน ที่อยู่ไกลออกไปนอกเมือง ซึ่งก็ น่าทึ่งที่รถบัสมาถึงป้ายตรงเวลา แม้ต้องฝ่าการจราจรในเมืองที่ถือว่าแออัดอยู่บ้าง...หนำซ้ำคนขับยังทำเวลา ได้ดี โดยไม่ ต้องปาดซ้ายแซงขวาใดๆ ก็ ถึงที่หมายโดยสวัสดิภาพ และทำให้บอกลาแล้ว ลาที เกาหลีใต้...มาหนนี้ได้ ประสบการณ์ไม่รู้ลืมไปเพียบจริงๆ.

...