คาร์ล เป่ย ผู้ก่อตั้งสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยี Nothing ให้มุมมองเกี่ยวกับอนาคตของสมาร์ทโฟน โดยชี้ว่าหลังจากนี้ผู้ใช้งานไม่ต้องพึ่งพิงแอปพลิเคชัน ใช้แค่ระบบปฏิบัติการและปัญญาประดิษฐ์ในการทำงานแทน

คาร์ล เป่ย (Carl Pei) อดีตผู้ก่อตั้งสมาร์ทโฟนแบรนด์วันพลัส (OnePlus) และปัจจุบันเป็นผู้ก่อตั้งบริษัทสตาร์ทอัพด้านเทคโนโลยีที่มีชื่อว่า Nothing ให้สัมภาษณ์กับนิตยสาร Wired เปิดเผยว่า Nothing เป็นบริษัทที่ให้ความสำคัญกับ AI และ Nothing Phone (3) จะเป็นก้าวแรกสู่การเป็นแพลตฟอร์มที่ขับเคลื่อนด้วย AI ซึ่งสัญญาณแรกๆ มาจากฟีเจอร์ Essential Space บน Nothing Phone (3a) ซึ่งเปิดตัวในเดือนมีนาคมที่ผ่านมา

เป่ยกล่าวกับ Wired ว่าจุดแข็งของ Nothing คือเรื่องของความคิดสร้างสรรค์ แล้วก็ชี้ไปที่แอปเปิลว่าเคยเป็นบริษัทที่มีความคิดสร้างสรรค์ แต่ตอนนี้กลายเป็นองค์กรใหญ่ มีความเป็นทางการ และไม่มีความคิดสร้างสรรค์อีกแล้ว

เป่ยกล่าวต่อไปว่า Nothing ต้องการสร้าง iPod แห่งวงการ AI ซึ่งในอดีตเป็นผลิตภัณฑ์ที่แอปเปิลได้ส่งมอบประสบการณ์ในการฟังเพลงที่ดีกว่าเดิมได้สำเร็จ แล้วก็เปรียบเทียบว่าในตอนนี้ AI ก็เป็นแต่เพียงเทคโนโลยีใหม่ที่ช่วยให้สร้างผลิตภัณฑ์ที่ดีขึ้นเพื่อผู้ใช้งาน ดังนั้นกลยุทธ์ของ Nothing ไม่ใช่การป่าวประกาศว่า AI จะเปลี่ยนแปลงโลกและปฏิวัติวงการสมาร์ทโฟน แต่มันคือการใช้ AI แก้ปัญหาให้กับผู้บริโภค โดยไม่ต้องสร้างเรื่องราวใหญ่โต เราต้องการให้ผลิตภัณฑ์เป็นตัวบอกเล่าเรื่องราวของมันเอง

พร้อมกันนี้ เป่ยยังกล่าวว่าเขาไม่เห็นด้วยกับกระแสผลิตภัณฑ์ AI ที่กำลังเป็นเทรนด์ในปัจจุบัน เช่น แว่นตาอัจฉริยะว่าจะเป็นอนาคตของเทคโนโลยีนี้ แต่เป่ยมองว่าสมาร์ทโฟนจะยังคงเป็นอุปกรณ์ที่สำคัญที่สุดสำหรับ AI แต่จะเป็นสมาร์ทโฟนที่เปลี่ยนแปลงไปจากเดิมเป็นอย่างมาก

...

ตามความเห็นของเป่ย เขามองว่าอนาคตของสมาร์ทโฟนคือโลกที่ปราศจากแอปพลิเคชัน สมาร์ทโฟนทั้งเครื่องจะมีแค่ OS หรือก็คือระบบปฏิบัติการ ซึ่งการใช้งานทั้งหมดก็จะขึ้นอยู่กับสิ่งนี้ พร้อมความสามารถในการปรับแต่งให้เหมาะกับผู้ใช้งานแต่ละคนตามความเหมาะสม และตามความสนใจ

อย่างไรก็ตาม แนวทางที่เป่ยกล่าวมาทั้งหมดไม่ได้หมายความว่าสมาร์ทโฟนที่กำลังเปิดตัวอย่าง Nothing Phone (3) จะมีแต่ระบบปฏิบัติการเพียงอย่างเดียว และสามารถใช้งานได้โดยไม่ต้องพึ่งพิงแอปพลิเคชัน เพราะนั่นเป็นสิ่งที่ยังไม่เกิดขึ้นในตอนนี้ แต่จะเกิดขึ้นจริงในอีก 7-10 ปีข้างหน้า ด้วยเหตุผลที่ว่า ผู้คนยังรักในการใช้งานแอปพลิเคชัน

ที่มา: Wired