ดร. เจฟฟรีย์ ฮินตัน ผุ้บุกเบิกเทคโนโลยีด้านเอไอ ได้ให้สัมภาษณ์และแสดงความกังวลในความก้าวหน้าของปัญญาประดิษฐ์ โดยความสามารถที่ถูกพัฒนาอย่างรวดเร็ว อาจเกิดปัญหาทั้งการใช้งานผิดวัตถุประสงค์ หรือการถูกนำไปใช้โดยรัฐเผด็จการ

ดร. เจฟฟรีย์ ฮินตัน ผู้บุกเบิกเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์คนสำคัญ และได้รับการยกย่องเป็นเจ้าพ่อด้านเอไอ ได้แสดงความวิตกกังวลอย่างยิ่งต่อทิศทางการพัฒนาและการใช้งาน AI ในปัจจุบันและอนาคต ผ่านการให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวซีบีเอส ระบุว่าความเร็วในการพัฒนาของ AI นั้นเหนือความคาดหมายของเขาอย่างมาก และเตือนถึงภัยคุกคามร้ายแรงที่อาจตามมา

ดร. ฮินตัน ซึ่งเป็นผู้มีส่วนสำคัญในการวางรากฐานเทคโนโลยีโครงข่ายประสาทเทียม (Neural Network) อันเป็นหัวใจของ Generative AI ที่ใช้กันแพร่หลาย ยอมรับว่าเขาไม่เคยคาดคิดว่า AI จะพัฒนามาถึงจุดนี้ได้ภายในเวลาเพียง 40 ปี ซึ่งเป็นอัตราการเติบโตที่อาจเร็วกว่ากฎของมัวร์ (Moore's Law) ที่ใช้วัดความก้าวหน้าของวงการเซมิคอนดักเตอร์เสียอีก ก่อนหน้านี้เมื่อสองปีก่อน เขาก็เคยเตือนผ่านการให้สัมภาษณ์กับสำนักข่าวเดอะ นิว ยอร์ก ไทมส์ ถึงความยากลำบากในการป้องกันไม่ให้ผู้ไม่หวังดีนำ AI ไปใช้ในทางที่ผิด

ดร. ฮินตัน ชี้ว่าส่วนตัวเขาแล้วมีความกังวลต่อการพัฒนาเอไอที่อาจเกิดเป็นภัยคุกคามถึง 5 ด้าน ได้แก่ เริ่มจากความเสี่ยงที่ AI จะควบคุมมนุษย์ โดยดร.ฮินตัน ประเมินว่าปัญหานี้อาจมีความเสี่ยงประมาณ 10-20 เปอร์เซ็นต์ ที่ AI อาจพัฒนาขีดความสามารถจนถึงขั้นควบคุมหรือเข้ามามีอำนาจเหนือมนุษย์ได้ 

ดร. ฮินตัน ย้ำว่า AI มีประโยชน์มหาศาลในด้านต่างๆ จริง แต่ก็มีความน่ากังวลไม่น้อยเช่นกัน โดยเฉพาะเมื่อ AI มาถึงจุดที่ฉลาดเกินกว่าที่มนุษย์จะเข้าใจ AI อาจเริ่มดำเนินการเพื่อเป้าหมายของตนเอง ซึ่งสอดคล้องกับแนวคิดเรื่องปัญญาประดิษฐ์ทั่วไป หรือ Artificial General Intelligence (AGI)

...

ต่อมาก็คือ AI อาจเป็นภัยแฝงที่ภายนอกดูน่ารักไม่น่ามีพิษมีภัย สามารถสร้างความเพลิดเพลินแก่ผู้ใช้งานได้ แต่เมื่อ AI เติบโตขึ้น ก็อาจเป็นภัยคุกคามร้ายแรง เนื่องจาก AI เป็นระบบที่ไร้อารมณ์และมุ่งเน้นเพียงการบรรลุผลลัพธ์ตามที่ถูกโปรแกรมไว้

ปัญหาอีกประการหนึ่งที่ดร. ฮินตันแสดงความกังวลก็คือ AI จะกลายเป็นเครื่องมือที่ทรงพลังอย่างมากให้กับแฮกเกอร์ใช้โจมตีระบบโครงสร้างพื้นฐานที่สำคัญ เช่น โครงสร้างพื้นฐานด้านสาธารณสุขและการเงิน เป็นต้น 

นอกจากแฮกเกอร์แล้ว รัฐบาลเผด็จการก็อาจนำ AI ไปใช้ในทางที่ผิดได้โดยง่าย เช่น การสอดส่องหรือควบคุมประชาชน หรือแม้แต่การสร้างโฆษณาชวนเชื่อที่มีความสลับซับซ้อนและมีประสิทธิภาพที่สูงมากได้

สุดท้ายก็คือ บริษัทชั้นนำด้านเทคโนโลยีในเวลานี้อย่างโอเพนเอไอ, กูเกิล, ไมโครซอฟท์ หรือเมตา ซึ่งอยู่ระหว่างการแข่งขันการพัฒนา AI เน้นไปที่การสร้างผลกำไรระยะสั้นและการสร้างโอกาสการเป็นผู้นำตลาดด้าน AI มากกว่าที่จะลงทุนด้านความปลอดภัยของ AI

อย่างไรก็ดี ดร. ฮินตัน ไม่ได้เสนอทางออกที่ชัดเจนต่อปัญหาเหล่านี้ แต่ยอมรับว่าสถานการณ์ปัจจุบันเป็นเรื่องที่น่าหนักใจอย่างยิ่ง ดร.ฮินตัน กล่าวทิ้งท้ายว่า มนุษยชาติกำลังอยู่ในช่วงหัวเลี้ยวหัวต่อทางประวัติศาสตร์ โดยที่เทคโนโลยี AI อาจนำมาซึ่งการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่อย่างที่ไม่เคยมีมาก่อน ซึ่งนั่นเป็นสิ่งที่ท้าทายมากๆ ในการรับมือและการทำความเข้าใจต่อมิติใหม่ๆ ทางเทคโนโลยีที่เกิดขึ้น

ที่มา: Techradar