Niantic ตัดสินใจขายธุรกิจเกมให้กับ Scopely เป็นจำนวนกว่า 3.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ แม้จะเปลี่ยนมือผู้พัฒนา แต่ทีมผู้พัฒนาชุดใหม่ยังคงรักษาความต่อเนื่องในการอัปเดตกิจกรรมและฟีเจอร์ต่างๆ พร้อมทั้งรักษาความร่วมมือกับ The Pokémon Company ไว้เหมือนเดิม

ในช่วงเกือบเก้าปีที่ Pokémon GO ได้พิชิตใจคนเล่นเกมทั่วโลก เกมมือถือสุดฮิตนี้กำลังเข้าสู่บทใหม่ เมื่อ Niantic ตัดสินใจขายธุรกิจเกมในมือของพวกเขาให้กับ Scopely ในมูลค่ากว่า 3.5 พันล้านดอลลาร์

ตั้งแต่เปิดตัวในปี 2016 Pokémon GO ได้กลายเป็นปรากฏการณ์ที่ทำให้คนทั่วโลกออกไปสำรวจโลกจริงในแบบที่ไม่เคยมีมาก่อน หลังจากนั้น Niantic ได้พัฒนาเกมอื่นๆ ออกมามากมาย ไม่ว่าจะเป็น Pikmin Bloom, Harry Potter, Monster Hunter Now, Campfire และ Wayfarer ซึ่งช่วยขยายขอบเขตของการเล่นเกม AR ในหลายๆ มิติ แต่ถึงกระนั้นแล้วเกมที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดก็ยังคงเป็น Pokemon GO

แม้ว่าจะเกิดการเปลี่ยนแปลงในส่วนเจ้าของ แต่การพัฒนาเกม Pokémon GO จะยังคงเหมือนเดิม ทั้งนี้ มีการยืนยันว่า พวกเขาจะยังคงรักษาความต่อเนื่องในการอัปเดตกิจกรรมและฟีเจอร์ต่างๆ พร้อมทั้งรักษาความร่วมมือกับ The Pokémon Company ไว้เหมือนเดิม

สำหรับเจ้าของใหม่อย่าง Scopely ถือว่ามีประสบการณ์ในการจัดการเกมมือถือ เนื่องจากเคยดูแลเกม Marvel Strike Force และ Star Trek Fleet Command การเข้าซื้อกิจการนี้อาจเป็นจุดเริ่มต้นของการผลักดันโมเดลรายได้ใหม่ใน Pokémon GO ไม่ว่าจะเป็นการเพิ่มโฆษณาหรือการส่งเสริมการซื้อในเกมผ่าน microtransactions 

ทางด้าน Niantic หลังจากขายธุรกิจเกมก็ได้ประกาศเปิดตัวยูนิตใหม่ภายใต้ชื่อ “Niantic Spatial” โดยมุ่งเน้นการพัฒนาแผนที่สามมิติและเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์เพื่อให้ระบบเข้าใจสภาพแวดล้อมในโลกจริง ซึ่งยูนิตใหม่ที่ว่านี้ ได้รับการฉีดเงินสดรวม 250 ล้านดอลลาร์ แบ่งเป็น 200 ล้านดอลลาร์จาก Niantic และ 50 ล้านดอลลาร์จาก Scopely พร้อมทั้งยังคงมีสิทธิ์ในการบริหารจัดการเกมอื่นๆ อย่าง Ingress Prime และ Peridot ไว้ภายใต้ความพยายามในการสร้างนวัตกรรมในอนาคต

...

จอห์น ฮังเก ซีอีโอและผู้ก่อตั้ง Niantic เปิดเผยว่า เกมของเราเป็นสะพานที่เชื่อมโยงผู้คนและสร้างแรงบันดาลใจให้เกิดการสำรวจ และเขามั่นใจว่าภายใต้การร่วมมือกับ Scopely แนวคิดนี้จะยังคงดำเนินต่อไป ถึงแม้ว่าในช่วงหลัง ผู้เล่น Pokémon GO หลายคนเริ่มแสดงความกังวลเกี่ยวกับการเพิ่มขึ้นของคอนเทนต์ภายในเกมที่ต้องจ่ายเงินมากขึ้น

ที่มา: TechCrunch9to5Google