การพัฒนาปัญญาประดิษฐ์ หรือ Artificial intelligence ; AI เริ่มเป็นที่รู้จักทั่วโลกในปี 1956 ในการประชุม Dartmouth con ference ซึ่งเป็นการประชุมเชิงปฏิบัติการครั้งแรกสำหรับ AI ที่ประเทศสหรัฐอเมริกา จากนั้นก็ได้รับความสนใจและความนิยมเพิ่มมากขึ้นเรื่อยๆ

การพัฒนา AI ในโลกของมนุษย์เติบโตอย่างก้าวกระโดด โดย AI ถูกนำไปใช้ในวงการต่างๆมากมาย ไม่เว้นแม้แต่วงการสื่อสาร แฟชั่น หรือแม้แต่วงการบันเทิง ที่มีความพยายามทำให้ AI มีความใกล้เคียงเหมือนมนุษย์ให้มากที่สุด เท่าที่ความรู้ทางวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีจะทำได้

...
ล่าสุด นักวิจัยจากมหาวิทยาลัย Kyoto University ประเทศญี่ปุ่น ได้พัฒนา AI ให้สามารถสนทนาได้เหมือนมนุษย์ แต่ที่น่าทึ่งไปกว่านั้น คือ การป้อนข้อมูลให้ AI สามารถหัวเราะได้อย่างรู้จังหวะ ทำให้การสนทนาดูราบรื่นและเป็นธรรมชาติ เหมือนไม่ได้คุยกับ AI แต่เหมือนการคุยกับมนุษย์จริงๆ

นักวิจัยในโครงการให้ข้อมูลว่า ทีมวิจัยมุ่งเน้นการพัฒนาระบบที่เรียกว่า “การหัวเราะร่วม” กับคู่สนทนาอย่างเป็นธรรมชาติ ซึ่งอาจจะดูเหมือนง่าย ถ้าแค่ได้หัวเราะร่วมกับคู่สนทนา แต่จริงๆแล้ว การหัวเราะร่วมอย่างมีจังหวะที่เหมาะสมนั้น ต้องอาศัยการประมวลผลจากความเข้าใจสิ่งที่ผู้พูดสื่อ ที่บางครั้งไม่ใช่มีแค่ความหมายโดยตรงของคำพูดเท่านั้น แต่ยังต้องเข้าใจบริบทและหัวเราะในจังหวะที่เหมาะสมไม่ขัดจังหวะผู้พูด รวมทั้งไม่หัวเราะจนเกินงามจนทำให้คู่สนทนารู้สึกกระอักกระอ่วนหรือรู้สึกอายด้วย

แนวทางการสร้างกิริยาการหัวเราะร่วมของ AI ที่นักวิจัยมหาวิทยาลัยเกียวโต พยายามพัฒนาในครั้งนี้ คือ การใช้ข้อมูลเสียงสนทนาจากสถานการณ์จำลองการเดต โดยใช้อาสาสมัครมานั่งพูดคุยกับ AI ที่ชื่อ Erica ซึ่งมีผู้ควบคุมคอยพูดและบันทึกเสียงแทน AI ข้อมูลการสนทนาที่บันทึกไว้ได้จะมีการระบุช่วงเวลาที่มีการหัวเราะร่วมระหว่างอาสาสมัครและผู้ควบคุมเพื่อให้ปัญญาประดิษฐ์เข้าใจว่าตอนไหนคือตัวอย่าง “การหัวเราะร่วม” อย่างเป็นธรรมชาติ

ซึ่งคำว่า “หัวเราะร่วม” อย่างเป็นธรรมชาติ AI ต้องตัดสินใจเกี่ยวกับการหัวเราะถึง 3 ขั้นตอน
ขั้นตอนแรก คือ ตรวจจับการหัวเราะของคู่สนทนา จากนั้นจึงตัดสินใจว่าหากคู่สนทนาหัวเราะแล้วควรร่วมหัวเราะไปกับผู้พูดหรือไม่ และท้ายที่สุดคือการเลือกวิธีหัวเราะว่าควรทำเช่นไร ระหว่างการหัวเราะอย่างร่าเริง หรือการหัวเราะเบาๆตามมารยาทเท่านั้น

...
ทีมวิจัยได้สร้างบทพูดสนทนาขึ้นใหม่ 3 รูปแบบ ประกอบด้วย รูปแบบแรก ให้ AI หัวเราะทุกครั้งที่ตรวจจับการหัวเราะของคู่สนทนาได้
รูปแบบที่ 2 ให้ AI สนทนาโต้ตอบตามปกติแต่ไม่หัวเราะเลย และ รูปแบบที่ 3 ให้ AI ทำการตัดสินใจและเลือกหัวเราะร่วมตามที่ได้เทรนมา โดยใช้อาสาสมัครมากกว่า 130 คน ในการฟังบทพูดสนทนาที่ถูกสร้างขึ้นใหม่ทั้ง 3 รูปแบบ แล้วให้อาสาสมัครให้คะแนนบทสนทนาว่าแบบไหนแสดงออกถึงความเห็นอกเห็นใจ, การโต้ตอบอย่างเป็นธรรมชาติ และการหัวเราะเหมือนมนุษย์มากที่สุด ซึ่งผลที่ได้พบว่า บทสนทนาที่สร้างขึ้นรูปแบบที่ 3 นั้น ได้คะแนนดีที่สุด
แม้จะดูว่าเป็นความสำเร็จของนักวิจัย ที่สามารถพัฒนา AI ให้สามารถหัวเราะร่วมกับมนุษย์ได้อย่างเป็นธรรมชาติมากขึ้น แต่งานวิจัยครั้งนี้ ยังสามารถรองรับได้แค่การสนทนาในภาษาญี่ปุ่น เท่านั้น รวมทั้งสถานการณ์ที่ถูกนำมาฝึกให้ AI พูด หัวเราะ ก็ยังห่างไกลจากคำว่าครอบคลุมรูปแบบการสนทนาจริงๆในชีวิตประจำวันของมนุษย์ แต่ก็ต้องถือว่าเป็นความสำเร็จอีกขั้นของความพยายามที่จะให้ AI รู้จักอารมณ์ขันและสามารถแยกแยะการหัวเราะร่วมออกจากการหัวเราะตามมารยาทได้ ถือเป็นก้าวที่น่าสนใจในการทำให้ปัญญาประดิษฐ์มีการแสดงอารมณ์ใกล้เคียงมนุษย์มากขึ้น

...
และไม่ใช่ครั้งแรกที่มีความพยายามให้ AI ทำสิ่งต่างๆได้ใกล้เคียงมนุษย์ ที่ผ่านมา มี AI ที่มีชื่อเสียงระดับโลก ที่สามารถประมวลข้อมูลและโต้ตอบกับมนุษย์ได้ อย่าง Lamda ซึ่งย่อมาจาก ‘Language Model for Dialog Application’ ระบบ AI ขนาดใหญ่ของ Google ที่เรียนรู้การสร้างภาษาผ่านบทสนทนาเพื่อต่อบทสนทนา
“Neon” AI ที่อยู่ในรูปร่างของมนุษย์ สามารถพูดคุยและตอบโต้ได้เหมือนคุยกับเพื่อน แสดงอารมณ์ได้เหมือนมนุษย์ และจะปรากฏตัวอยู่ในหน้าจอ คอยช่วยเหลือเหมือนกับเวลาพูดคุยกับคนจริงๆ ซึ่งบริษัทโทรศัพท์มือถือยักษ์ใหญ่ของเกาหลีใต้พัฒนาขึ้น เพื่อช่วยงานด้านบริการ และในอนาคตอาจจะสามารถทำอาชีพเป็นผู้ประกาศข่าว, โฆษก, นักแสดง หรือแม้แต่สามารถเป็นเพื่อนของเราได้เลย มาจนถึง น้องไอรีน ที่ค่ายมือถือยักษ์ใหญ่ของไทยพัฒนาขึ้นเป็นตัวแรก ฯลฯ

ซึ่งแม้ว่าการพัฒนา AI ให้ทำสิ่งต่างๆได้ใกล้เคียงมนุษย์จะก้าวหน้ามากขึ้นเรื่อยๆ แต่นักวิจัยก็ยังเชื่อว่า มีหลายอย่างที่ AI ไม่สามารถที่จะเหมือนมนุษย์ได้จริงๆโดยเฉพาะในส่วนของอารมณ์ ความรู้สึก ศีลธรรม ฯลฯ
...
ซึ่งเมื่อ AI ยังเป็นแค่ “สมองกล” หรือ Artificial Neural Network โอกาสที่จะเลียนแบบสมองมนุษย์ที่มีโครงสร้างที่สลับซับซ้อน หรือคัดลอกการทำงานของสมองมนุษย์ อาจจะยังอยู่อีกไกล.