น้ำหอมผู้ชาย 2023 มีให้เลือกมากมายหลายแบบ แต่จะเลือกอย่างไรให้เหมาะกับบุคลิกตนเอง และสร้างเสน่ห์จนใครๆ ก็อยากเข้าหา เรารวมวิธีเลือกน้ำหอมผู้ชายให้ตรงใจมาให้แล้ว

ที่ผ่านมาผู้ชายมักจะไม่ได้ให้ความใส่ใจในการเลือกน้ำหอมให้ตนเองเท่าไรนัก แต่วันนี้ น้ำหอมผู้ชาย กลายเป็นสิ่งสำคัญที่หนุ่มๆ หลายคนสนใจมากกว่าการบำรุงผิวพรรณของตนเองเสียอีก เพราะกลิ่นน้ำหอมสามารถบ่งบอกได้ถึงบุคลิก รสนิยม และความชื่นชอบของผู้ชายคนนั้นได้ด้วย เพราะน้ำหอมผู้ชายแต่ละกลิ่นให้เอกลักษณ์เฉพาะตัว บ่งบอกสไตล์ของผู้ใช้ได้ดีทีเดียว

วิธีเลือกน้ำหอมผู้ชาย 2023

น้ำหอมผู้ชาย 2023 มีกลิ่นมากมายให้เลือกใช้ ขึ้นอยู่กับแต่ละแบรนด์ ว่าจะผสมสูตรน้ำหอมกลิ่นอะไรออกมาขาย แต่หากจะพูดถึงน้ำหอมกลิ่นหลักๆ ที่แบ่งแยกตามสารที่ใช้ในการสร้างกลิ่นน้ำหอม จะแบ่งได้ประมาณ 3 ประเภท ดังนี้

1. น้ำหอมที่มาจากพืช

...

โดยเป็นน้ำหอมที่ได้จากสารสกัดจากส่วนต่างๆ ของพืช นำมาสกัดเป็นน้ำมันหอมระเหย เช่น ดอก ใบ ลำต้น เปลือก ยาง หรือเมล็ด ฯลฯ

2. น้ำหอมที่มาจากสัตว์

เป็นการสกัดน้ำหอมระเหยจากส่วนต่างๆ ของสัตว์ เช่น Ambergris มาจากการสำรอกหรือการขับถ่ายของวาฬ Castoreum กลิ่นจากบีเวอร์ เป็นกลิ่นซึ่งเป็นสิ่งขับถ่ายจากกระเปาะรูปทรงรีระหว่างทวารหนัก และอวัยวะสืบพันธุ์ หรือ Musk ได้จากฮอร์โมนกวาง ด้วยคุณลักษณะที่คล้ายคลึงกับกลิ่นฟีโรโมนส์ของเพศชายมากที่สุด เป็นต้น

3. เครื่องหอมจากเคมีสังเคราะห์

เป็นกลิ่นน้ำหอมที่สร้างจากสารเคมีเป็นหลัก ที่ผลิตในห้องปฏิบัติการ สารสังเคราะห์ส่วนใหญ่มาจากน้ำมันปิโตรเคมี เช่น alcohol group, aldehyde group, ketone group และ ester group

4. ระดับกลิ่นน้ำหอมผู้ชายที่ต้องรู้

นอกจากน้ำหอมแต่ละชนิด จะมีแหล่งที่มาของวัตถุดิบในการผลิตน้ำหอมแตกต่างกันไปแล้ว ยังพบว่า ในน้ำหอมขวดหนึ่ง จะมีการเปลี่ยนแปลงระดับของกลิ่นตามระยะเวลาที่ฉีดหรือใช้งาน ซึ่งเรียกกลิ่นในระดับต่างๆ ว่า Notes ของน้ำหอม โดยน้ำหอมที่ดีแบ่งออกได้เป็น 3 ระดับ ดังนี้

  1. Topnote : เป็นกลิ่นของน้ำหอมที่ระเหยส่งกลิ่นออกมาเป็นตัวแรกสุด มักทำจากสารประกอบโมเลกุลเล็กที่ระเหยได้ง่าย โดยกลิ่นระดับ Topnote จะมีกลิ่นที่ติดทนอยู่ได้ประมาณ 15-20 นาทีแรก หลังจากใส่น้ำหอม
  2. Middle Note : เป็นกลิ่นของน้ำหอมตัวหลักในน้ำหอมชนิดนั้นๆ จะมีกลิ่นติดทนอยู่ในช่วงเวลาประมาณ 15-20 นาที นานไปจนถึง 5 ชั่วโมงได้ หลังจากใส่น้ำหอมชนิดนั้น
  3. Base note (Lasting note) : เป็นกลิ่นของน้ำหอมในช่วงที่น้ำหอมส่วนมากแห้งหมดไปแล้ว เป็นกลิ่นส่วนสุดท้ายของน้ำหอม สามารถอยู่ได้นานถึง 24 ชั่วโมงเลยทีเดียว หรืออาจจะมากกว่านั้นได้ สาเหตุที่น้ำหอมระดับนี้ติดทนอยู่นาน เป็นเพราะวัตถุดิบชนิดที่นำมาทำเป็น Lasting note มักทำมาจากสารประกอบโมเลกุลใหญ่ที่ระเหยได้ช้า จัดเป็น Fixative มีลักษณะของกลิ่นที่ไม่รุนแรงหรือโดดเด่น แต่เป็นกลิ่นที่มีลักษณะหอมแบบเรียบๆ

น้ำหอมไม่ได้แค่ช่วยดับกลิ่นกายเท่านั้น แต่ยังสร้างเสน่ห์ชวนหลงใหล เติมเต็มบุคลิกให้ดียิ่งขึ้นด้วย
น้ำหอมไม่ได้แค่ช่วยดับกลิ่นกายเท่านั้น แต่ยังสร้างเสน่ห์ชวนหลงใหล เติมเต็มบุคลิกให้ดียิ่งขึ้นด้วย

แต่ในเชิงการตลาดแล้ว น้ำหอมที่วางขายกันส่วนใหญ่ จะไม่ได้แบ่งตามประเภทต่างๆ ที่กล่าวมา จะแบ่งน้ำหอมตามลักษณะของความเข้มข้นของหัวน้ำหอมมากกว่า ดังนี้

  • Eau Fraiche มีความเข้มข้นของหัวน้ำหอม 1-3% ให้ระยะเวลาความหอมนาน 1-2 ชั่วโมง
  • Eau de Cologne (EDC) มีความเข้มข้นของหัวน้ำหอม 2-4% ให้ระยะเวลาความหอมนาน 2-3 ชั่วโมง
  • Eau de Toilette (EDT) มีความเข้มข้นของหัวน้ำหอม 5-15% ให้ระยะเวลาความหอมนาน 4-5 ชั่วโมง
  • Eau de Parfum (EDP) มีความเข้มข้นของหัวน้ำหอม 15-20% ให้ระยะเวลาความหอมนาน 5-6 ชั่วโมง
  • Perfume (Parfum) มีความเข้มข้นของหัวน้ำหอม 15-40% ให้ระยะเวลาความหอมนาน 6-8 ชั่วโมง

...

จากความเข้มข้นของหัวน้ำหอม และระยะเวลาความหอมที่จะอยู่ได้นานแค่ไหน ทำให้ราคาของน้ำหอมแต่ละชนิดมีราคาที่แตกต่างกัน ยิ่งหอมติดทนนานเท่าไร ก็ยิ่งมีราคาสูงตามไปด้วย ดังนั้น คุณผู้ชายที่ต้องการเลือกใช้น้ำหอม ก็คงต้องพิจารณาเอาตามความเหมาะสมในการใช้งาน และงบประมาณที่มีด้วย

7 น้ำหอมผู้ชาย 2023 มีไว้เติมเสน่ห์

สำหรับน้ำหอมผู้ชาย 2023 ปัจจุบันมีให้เลือกหลากหลายกลิ่น หลายแบรนด์ ขึ้นอยู่กับความชื่นชอบของแต่ละคน ก็ถือเป็นความชื่นชอบส่วนตัว ตามรสนิยม การแต่งกาย และบุคลิกของแต่ละคนด้วย แต่ถ้าแยกน้ำหอมตามประเภทต่างๆ ที่ผู้ชายนิยมใช้ในปัจจุบัน จะพบว่ามีด้วยกันทั้งหมด 7 กลุ่มตัวอย่าง ดังนี้

1. กลิ่นไม้ (Woody Fragrances)

เป็นกลุ่มน้ำหอมผู้ชาย ที่ให้กลิ่นที่มีลักษณะเป็นไม้ หรือส่วนประกอบของไม้ หรือพืชประเภทมอส ตัวอย่างเช่น ไม้ซีดาร์ (Cedarwood) ไม้แซนดาลวูด (Sandalwood) ไม้โอโซนิก (Oud) น้ำหอมกลุ่มนี้จะให้ความรู้สึกผ่อนคลายสำหรับผู้ฉีด จึงเหมาะกับผู้ชายสไตล์สุขุม มาดนิ่ง แบบฉบับสุภาพบุรุษ ดูเป็นคนมีภูมิความรู้ จิตใจหนักแน่นและเด็ดเดี่ยว

...

2. กลิ่นซีทรัส (Citrus Fragrances)

เป็นกลุ่มน้ำหอม ที่ให้กลิ่นที่มีเอกลักษณ์ของพืชตระกูลส้ม หรือผลไม้ให้รสเปรี้ยว เช่น เลมอน (Lemon) ส้ม (Orange) มะกรูด (Bergamot) ทำให้มีความรู้สึกสดชื่น สดใส เหมาะสำหรับหนุ่มๆ หรือผู้ชายที่เป็นคนสนุกสนาน ร่าเริง ใช้ชีวิตสบายๆ ไม่เคร่งเครียด เหมาะสำหรับการฉีดในวันอากาศร้อน เพราะทำให้รู้สึกกระปรี้กระเปร่า และมีความสนุกสนานร่าเริง

3. กลิ่นสไปซี่ (Spicy Fragrances)

น้ำหอมกลุ่มนี้จะให้ความรู้สึกร้อนแรง เพราะส่วนมากจะมีส่วนผสมที่เป็นสารสกัดจากเครื่องเทศต่างๆ เช่น อบเชย (Cinnamon), ขิง, พริกไทย และกานพลู ฯลฯ ซึ่งเหมาะกับผู้ชายที่มีเสน่ห์ บุคลิกเร่าร้อน ลึกลับน่าค้นหา

4. กลิ่นหญ้า (Green Fragrances)

เป็นกลุ่มกลิ่นน้ำหอมผู้ชาย ที่ให้ความสดชื่น เหมือนกลิ่นต้นหญ้าในสนามที่โดนตัดใหม่ๆ ทำให้คนที่ใช้น้ำหอมกลิ่นนี้ รู้สึกสดชื่น แจ่มใส เหมาะกับคนที่มีบุคลิกสดชื่น แจ่มใส หรือจะเป็นผู้ชายแนวสปอร์ตก็ใช้ได้ดี

5. กลิ่นอควาติก (Aquatic Fragrances)

เป็นกลุ่มน้ำหอมผู้ชาย ที่มีกลิ่นลักษณะเป็นธรรมชาติ เหมือนกลิ่นน้ำ กลิ่นโอโซน หรือกลิ่นน้ำทะเล ซึ่งแตกต่างกันไปในแต่ละแบรนด์ แต่เป็นกลุ่มน้ำหอมที่ให้ความรู้สึกสดชื่น แจ่มใส สะอาด เหมาะกับวันที่ต้องการความสดชื่น กระปรี้กระเปร่า แจ่มใส และยังเหมาะกับผู้ชายที่มีบุคลิกร่าเริง แจ่มใส สนุกสนานอีกด้วย

...

6. กลิ่นผลไม้ (Fruity Fragrances)

เป็นน้ำหอมที่มีน้ำมันหอมระเหยหลัก มาจากผลไม้หรือส่วนของผลไม้ ซึ่งน้ำหอมผู้ชายกลุ่มนี้ ให้ความรู้สึกสดชื่น แจ่มใส ทำให้เหมาะกับคนที่มีบุคลิกสุภาพ ใจดี อ่อนหวาน อ่อนโยน ชอบช่วยเหลือผู้อื่น มีความโรแมนติก แต่ผู้ชายส่วนใหญ่อาจจะไม่ได้นิยมมากนัก หากเป็นผลไม้ที่ให้ความอ่อนหวาน

7. กลิ่นสปอร์ต (Sporty Fragrances)

ถือเป็นน้ำหอมผู้ชายกลิ่นยอดนิยม ซึ่งผู้ชายที่ชื่นชอบการออกกำลังกาย จะต้องมีติดไว้อย่างน้อย 1 ขวดแน่นอน เพราะช่วยทำให้ผู้ฉีดน้ำหอมกลุ่มนี้ รู้สึกสดชื่น มีเอนเนอร์จี้ และกระฉับกระเฉง บางคนก็ใช้ในชีวิตประจำวัน แต่ก็มีไม่น้อยที่ใช้เมื่อต้องไปออกกำลังกาย หรือเข้าฟิตเนส

ความชอบในกลิ่นน้ำหอมของผู้ชายมีความหลากหลาย ขึ้นอยู่กับรสนิยมของแต่ละคน และปัจจุบันกลิ่นน้ำหอมก็มีมากมายหลายชนิด ซึ่งผู้ชายคนไหนจะเลือกกลิ่นน้ำหอมอะไร คงไม่มีหลักเกณฑ์ที่ชัดเจนตายตัว เพราะเป็นเรื่องของความชอบส่วนตัวล้วนๆ

อ้างอิงข้อมูล : สำนักวิชาวิทยาศาสตร์เครื่องสำอาง ม.แม่ฟ้าหลวง, คณะมัณฑนศิลป์ ม.ศิลปากร, สมาคมส่งเสริมเทคโนโลยี (ไทย-ญี่ปุ่น)