พีท กันตพร หาญพาณิชย์ ผู้ชายที่ถูกพูดถึงมากที่สุดตั้งแต่ต้นปี 2566 จากบทบาท “พี่พีททททท” หรือ “พีทแฟนแก้มบุ๋ม” เฉพาะใน TikTok มียอดวิวรับชมไปกว่า 217 ล้านครั้ง ส่งผลให้ผู้ชมตามไปดูคลิปฉบับเต็มใน YouTube กลายเป็นเจ้าของรางวัลโล่เงินแสนซับไปอย่างไม่ได้ตั้งใจ วันนี้ไทยรัฐออนไลน์พามาทำความรู้จักตัวตนพีท กันตพร ทั้งหน้าที่กรรมการผู้บริหารโรงพยาบาล และบทบาท “พี่พีททททท” ผู้บริหารหัวใจแฟนด้อมแก้มพีท
พีทแฟนแก้มบุ๋ม กับปรากฏการณ์ “พี่พีททท” ฟีเวอร์
ไทยรัฐออนไลน์ : พีท กันตพร มาเป็น “พี่พีททททท” ได้อย่างไร
พีท กันตพร : เรื่องมันเป็นอย่างนี้ครับ ผมไม่ได้ทำ ผมต้องเล่าว่าตอนแรกเริ่ม พอดีแฟนผมเริ่มทำ YouTube มันมีเทปหนึ่งที่เขาคิดว่าจะทำรายการรีวิวบ้านของแต่ละคน ถ้าจำไม่ผิดจะเป็น EP.3 เขาจะมาถ่ายบ้านผมนี่แหละ ว่ามีอะไรบ้าง หลังจากออนแอร์ไปแล้วผมคิดว่าคงถูกใจคนดู มีคนนำไปตัดเป็นคลิปสั้นๆ ลงแพลตฟอร์มอื่น อย่าง TikTok กันมหาศาล แล้วไม่ใช่แค่คนเดียวตัด เกิดจากหลายๆ คนนำไปตัด แล้วเอาไปรีโพสต์ ทำให้เกิดยอดวิวบน TikTok เป็นร้อยล้าน มันจึงเป็นจุดเริ่มต้นที่คนดูคลิปสั้นๆ ใน TikTok แล้วอยากกลับมาดูคลิปยาวใน YouTube
...
TikTok เป็นแพลตฟอร์มที่บูมมากที่สุดในตอนนี้ ต้องยอมรับ พอคนดูเขามาเห็นว่าผมกับแฟน ทำอะไร ถ่ายอะไร เริ่มมาติดตามมากขึ้น ผมคิดว่าเขาชอบตัวตน ความเรียล จนสร้างฐานแฟนคลับได้ถึงปัจจุบันนี้ประมาณนั้นครับ
ไทยรัฐออนไลน์ : ทราบไหมว่าตอนนี้โพสต์แต่ละช่องทางที่แชร์ออกไป คอมเมนต์ 85% จะพูดถึงพี่พีท และที่เหลือคือพิมพ์ว่า “พี่พีทททททท” ชีวิตเราเปลี่ยนไปไหม
พีท กันตพร : (ยิ้ม)
พีท กันตพร : ผมพูดกับทุกคนว่ามันแปลกสำหรับผม เพราะผมว่าผมทำงานบริหารนะ แต่ถ้าพูดตรงๆ คือมีแฟนคลับที่ตามบุคคลที่เป็นผู้บริหาร ผมว่ามันเป็นเรื่องแปลก ผมไม่ใช่คนสายบันเทิง แต่ตอนนี้มันกลายเป็นภาพนั้นไปแล้ว ถามว่ามันน่ารักไหม ผมว่ามันก็น่ารักดี คือแฟนคลับที่เจอน่ารักทุกคนครับ ซึ่งผมก็เพิ่งมีมินิแฟนมีตไป
คืออย่างนี้ครับ ผมว่ามันตลกดี วันนั้นเป็นงานเปิดศูนย์ศัลยกรรมพลาสติก ที่โรงพยาบาลสาขาหนึ่ง แล้วลงทะเบียนผู้สนใจเข้าร่วมงาน 100 คน ปรากฏว่าเป็นแฟนคลับลงทะเบียนมาร้อยกว่าคน และมีคนอื่นที่ตามมากันอีก ผมมีความรู้สึกว่าเขามาตั้งร้อยกว่าคน เราควรทำอะไรบางอย่างให้ เลยเกิดเป็นมินิแฟนมีตขึ้นมา เปิดห้องประชุมและหาน้ำ ขนม มาต้อนรับ
ไทยรัฐออนไลน์ : แฟนคลับเริ่มมีผลกระทบต่องานและชีวิตประจำวันหรือยัง
พีท กันตพร : ต้องถามพีอาร์ครับ
เจ้าหน้าที่โรงพยาบาล : ก็เริ่มมีบ้างค่ะ หลังๆ ผู้มาติดต่อโรงพยาบาล ทั้งคนไข้ และแฟนคลับ มาถึงจะถามว่า “พี่พีทอยู่ไหม” เราจะแยกไม่ออกเลยว่านัดไว้ หรือเป็นแฟนคลับ เพราะทุกคนเรียก “พี่พีท” ทั้งหมดเลย
พีท กันตพร : คือถ้าผมลงไปชั้น 1 เวลาเดินผ่านใครก็จะขอถ่ายรูปหมดเลย ผมรู้สึกว่าเป็นบรรยากาศที่น่ารักดีครับ
...
ไทยรัฐออนไลน์ : งานในฐานะผู้บริหารปัจจุบันดูแลอะไรบ้าง
พีท กันตพร : เยอะมากเลยครับ หลักๆ ตอนนี้ก็คืองานโรงพยาบาลเครือเกษมราษฎร์ ปัจจุบันมี 15 ที่ และกำลังจะเปิดอีก 2 แห่ง แห่งแรกเป็นโรงพยาบาลมะเร็งครบวงจร จะอยู่ตึกข้างๆ ตึกนี้ ส่วนอีกโรงพยาบาลที่เพิ่งประกาศไป คือสาขาสุวรรณภูมิ ใน 3-5 ปีนี้เครือเราจะมีทั้งหมด 20 โรงพยาบาล
โรงพยาบาลมะเร็ง จะเป็นโรงพยาบาลเฉพาะทาง ซึ่งการรักษาโรคมะเร็งจะต้องมีพื้นที่รองรับเครื่องฉายแสง ซึ่งมันใหญ่มาก และต้องอยู่ภายใต้อาคารที่ปลอดภัย ตอนนี้กำลังทำแบบตัวโครงสร้างตึก และคาดว่าจะเปิดดำเนินการได้ภายในสิ้นปีนี้ หรือไตรมาสแรกของปีหน้า โดยรองรับคนไข้สิทธิประกันสังคม ผู้ป่วยมะเร็งที่มีสิทธิประกันสังคมในเครือโรงพยาบาลเราก็เข้ารักษาที่โรงพยาบาลมะเร็งได้เลย โดยที่เราไม่ต้องส่งตัวไปโรงพยาบาลอื่น ซึ่งเกิดค่าใช้จ่าย เรามาทำตรงนี้เองทำให้เราประหยัดค่าใช้จ่ายได้
เมื่อปลายเดือนมกราคมที่ผ่านมา ผมเปิดสำนักข่าวชื่อ The Better โดยเป็นการนำทีมงานบรรณาธิการเก่าของโพสต์ทูเดย์ มาตั้งเป็นอีกหนึ่งธุรกิจคือธุรกิจสื่อ เน้นเรื่องเศรษฐกิจ การลงทุน และการเมืองบ้าง
...
ส่วนที่เป็นช่อง YouTube จะใช้เวลาช่วงเสาร์-อาทิตย์ โดยมีทีมงานไปด้วยประมาณ 5-8 คน ตอนแรกผมไม่ได้นึกไปถึงว่าช่องนี้จะมีผู้ติดตาม ต้องบอกว่ามันมีค่าโปรดักส์ชันเกิดขึ้นอยู่แล้ว เราก็ลงคลิปไปเรื่อยๆ ผมว่ามันเป็นไดอารี่บันทึกเรื่องราวของผม ตอนที่ทำคือคิดว่าถ้าเราอายุเยอะขึ้นมากกว่านี้ จะได้ย้อนกลับมาดูว่าเมื่อ 10 ปีที่แล้วเราทำอะไร แล้วพอเราเริ่มทำไป วัตถุประสงค์ก็อยู่แค่นี้ครับ จนเพิ่งมีรายได้และกำไรเกิดขึ้นในสองสามเดือนที่ผ่านมา
แต่ก่อนหน้านี้ไม่มีกำไรหรอกครับ มีแต่ต้นทุนที่ผลิต
ไทยรัฐออนไลน์ : ด้วยตัวตนที่เป็นผู้บริหาร ได้มีการวางแผนไหมว่าจะดึงกลุ่มผู้ติดตามในโซเชียลมีเดียมาเป็นลูกค้า หรือทำให้เกิดรายได้เพิ่มเติม
พีท กันตพร : ผมไม่ได้คิดไปถึงตรงส่วนนั้น ผมตั้งใจทำ Social Media ให้เป็นไดอารี่ของเรา แล้วการที่มีคนมาชอบ เป็นเรื่องที่เรายินดี แล้วก็ขอบคุณ แต่ถามว่าอยากจะให้อะไรกับฐานแฟน ผมคิดว่าแค่เขามาชื่นชอบเรา ผมก็ขอบคุณแล้วจริงๆ นะ
...
ไทยรัฐออนไลน์ : ฟังมุมมองบริหารโรงพยาบาล บริหารเวลากับแฟนและแฟนคลับไปแล้ว ส่วนตัวดูแลเพื่อนร่วมงานรอบข้างอย่างไรบ้าง
พีท กันตพร : ผมคิดว่า ถ้ายกตัวอย่างง่ายๆ คือในช่วงโควิดที่ผ่านมา ต้องบอกว่าโรงพยาบาลของเราปรับตัวเข้าไปดูแลคนไข้ได้เร็วที่สุดในภาคเอกชน ที่กล้าพูดอย่างนี้ก็เพราะตอนนั้นเราไม่ทราบว่าโควิด-19 คืออะไร ทุกคนกลัวหมด หมอ พยาบาล บุคลากรทั้งหมดเป็นส่วนสำคัญ เราเข้าใจว่าทำไมเขาถึงกลัว แล้วอะไรมันจะแก้ปัญหาตรงนี้ได้มากกว่า
โควิด-19 เข้ามาเมื่อปี 2564 เริ่มระบาดในช่วงเดือนเมษายน คลัสเตอร์ช่วงนั้นคือตลาด ผมไปทุกที่กับพนักงานที่ต้องไปรับคนไข้โควิดหน้างาน ช่วงนั้นโรงพยาบาลเริ่มเต็ม กระทรวงสาธารณสุขเริ่มเปลี่ยนระบบให้คนไข้สามารถเข้าพักรักษาที่ Hospitel ได้ คนที่เปิด Hospitel แรกๆ ในประเทศไทย คือ โรงพยาบาลเกษมราษฎร์ ประกาศออกวันที่ 8 เมษายน เราเปิดได้วันที่ 10 ครับ
ผมคิดว่ามันมีอุปสรรคตรงที่ทุกคนกลัวโควิด แม้กระทั่งบุคลากรทางการแพทย์ แต่ผมคิดว่าตอนนั้นทีมผู้บริหารลงไปพร้อมกับเจ้าหน้าที่ กำลังใจมันจะต่างกันมากกว่า เราไม่ได้ใช้แค่หัวหน้าไป เราต้องไปดูด้วยกัน ต้องไปยืนดู รับคนไข้ด้วยกัน ในวันที่เราเองก็ยังไม่รู้ด้วยซ้ำว่าโควิดคืออะไร
รูปแบบนี้ทำให้เราค่อนข้างใกล้ชิดกับพนักงาน และทำให้บริการเราต่างจากที่อื่น จึงทำให้เราประสบความสำเร็จกับการจัดการโควิดในช่วงที่ผ่านมา
ไทยรัฐออนไลน์ : มุมมองผู้บริหารโรงพยาบาลมองว่าโควิดสร้างความเปลี่ยนแปลงอะไรบ้าง
พีท กันตพร : หลักๆ คือเราทำงานหนักกันมากครับ ธุรกิจอื่นอาจถูกปิดตัว มีผลกระทบต้องชะลอกิจการ แต่โรงพยาบาลนั้นไม่ใช่ มันกลายเป็นธุรกิจไม่กี่อย่างที่ต้องรับศึกหนัก ผมว่าพวกเราทำงานหนักกันมากในช่วงโควิด แต่มันสอนอะไรหลายๆ อย่าง มันทำให้เห็นเทรนด์ว่า จริงๆ แล้ว Health Care ในอนาคตจะเป็นในรูปแบบไหน ถ้าไม่มีโควิดเข้ามา เราไม่มีทางประชุมผ่านหน้าจอ ทำงานออนไลน์ สิ่งนี้จึงเกิดเป็น Telemedicine
เทคโนโลยีตัวนี้มันอาจจะต้องใช้ในอีก 5 ปี แต่โควิดทำให้เราได้ใช้เทคโนโลยีเหล่านี้ เป็น New Normal ที่คนไทยตอบรับได้ดี จากแต่ก่อนที่เวลาจะมาหาหมอ จะต้องให้หมอคลำ สัมผัส ดูปาก ดูจมูก การบริการเหล่านี้เป็นเรื่องของอนาคต แต่เราได้ใช้กัน
อีกประเด็นหนึ่ง ผมคิดว่า เทคโนโลยีที่จะถูกพัฒนาต่อคือ AI ที่ช่วยวินิจฉัยอาการของคนไข้ เช่น ช่วยในการอ่านฟิล์มเอกซเรย์ โดยตรวจจับคัดกรองความผิดปกติออก แล้วแพทย์เป็นผู้ตรวจยืนยันอีกครั้ง โควิดทำให้บริการโรงพยาบาลให้เป็นโลกออนไลน์มากขึ้น สำหรับผมเองมองว่าโควิดทำให้เราทำงานหนักขึ้น
บริการของอนาคตหลายอย่างทำให้เกิดธุรกิจที่พยายามจะมาสนับสนุนการทำ Telemedicine ระหว่างหมอกับคนไข้ เช่น บริษัทที่รับดูแลการส่งยาให้กับคนไข้ โดยที่คนไข้อยู่บ้าน ไม่ต้องมาโรงพยาบาล ถือว่าเป็นการเปลี่ยนโฉมวิธีการให้บริการ
ไทยรัฐออนไลน์ : งานแน่นรัดตัวแบบนี้ เมื่อไหร่จะแต่ง
พีท กันตพร : มีแฟนคลับถามคำถามนี้เหมือนกัน จริงๆ เรื่องนี้ผมคิดไว้แล้วนะ คือว่ามันเป็นเซอร์ไพรส์ (ยิ้ม) ส่วนเมื่อไหร่ อะไร ยังไง มันเป็นเซอร์ไพรส์แน่นอน แล้วก็จะไม่มีสื่อไหนได้ข้อมูลไปก่อน แต่ประเด็นคือ ถามว่าเราวางแผนอะไรกันไปเยอะหรือยัง เยอะแล้วครับ ตั้งแต่เรื่องที่อยู่ รูปแบบบ้าน
ไทยรัฐออนไลน์ : แสดงว่าใกล้แล้ว
พีท กันตพร : บ้านต้องสร้างหลายปีนะครับ (ยิ้ม)
สรุปย่อ “พีท กันตพร Vs แก้มบุ๋ม” เจอกันได้อย่างไร
แก้มบุ๋ม ปรียาดา และ พีท กันตพร รู้จักกันจากคำแนะนำของ บี มาติกา เพื่อนดาราในวงการที่มีความเชี่ยวชาญการเลือกแนะนำแฟนให้กับเพื่อน โดยหนุ่มพีทเป็นเพื่อนสมัยเรียนปริญญาโทของสาวบี และแก้มบุ๋มก็เป็นน้องในช่องเดียวกัน เริ่มต้นบีแนะนำให้หนุ่มพีทเข้าทางแม่ โดยบีเล่าในช่องยูทูบ Kambum ตอนหนึ่งว่า “แม่ลีคุยสนุกมาก ฉันชอบคุยกับเขา นั่งคุยได้เป็นชั่วโมงๆ ฟังเขาเล่าเรื่องสนุก ส่วนแก้มบุ๋ม เป็นคนขยันหาเงิน ไม่ดื่ม ไม่เที่ยว น่าจะเข้ากันได้” เดตแรกนัดเจอที่สวนจตุจักร แก้มบุ๋มตั้งใจแกล้งเขา ดูใจผู้ชายลุคคุณหนูจะกล้ามาลุยโซนสัตว์ Exotic หรือเปล่า
เดตแรกความประทับใจแรกก็เกิด หนุ่มพีท จับตุ๊กแกด้วยมือเปล่า ช็อกไปทั้งแก้มบุ๋มและผู้จัดการ เดตต่อมานัดกินข้าวที่ร้านอาหาร ไปกับผู้จัดการ แก้มบุ๋มเขินไม่กล้ากินอะไร ผ่านไป 14 วัน พี่พีทขอแก้มบุ๋มเป็นแฟน เซอร์ไพรส์แรกด้วยนาฬิกาหรู ภายหลังช่วงหลังเวลาไม่ตรงกัน แก้มบุ๋มต้องไปรอที่โรงพยาบาล การทำงานเกินช่วง Office Hour ทำให้ทั้งคู่เกือบไปไม่รอด จนเกิดเหตุการณ์วินาทีชีวิต แก้มบุ๋มป่วยหนักเข้าโรงพยาบาล อยู่ห้อง ICU หลายวัน ฟื้นลืมตาขึ้นมาเจอมือพี่พีทลูบหัว ก่อนที่จะเป็นพ่อของเธอ เธอจึงประทับใจมาก คนนี้แหละใช่ ต้องรักษาเขาไว้
เมื่อปรับความเข้าใจกัน แก้มบุ๋มลงเรื่องราวของเธอกับพีท กันตพร ไว้ในช่องยูทูบ จนเกิดเป็นกระแสดังใน TikTok แฟนด้อม "แก้มพีท" นำไปตัดลงและรีโพสต์ คอมเมนต์ของแฟนคลับมีลักษณะไปทางที่ว่า ถ้าตัดเรื่องของฐานะไป อยากให้แฟนหนุ่มของพวกเธอเองได้มีโมเมนต์ดีต่างๆ แบบผู้ชายคนนี้
คำว่า "พี่พีททท" (พิมพ์ ท.ทหาร หลายๆ ตัว) จึงกลายเป็นเสียงติดหูคล้ายไวรัล "จุ๊มเหม่งมีอารายยย" ในโลกติ๊กต่อก แฟนคลับรอฟังข่าวดีในอนาคต กำลังจะมีแฟนมีตจริงจัง ไม่เก็บค่าบัตร
สำหรับใครที่อยากรู้จักประวัติหนุ่มพีท กันตพร เพิ่มเติม ติดตามอ่านได้ที่นี่
เรื่อง : ต้นหอม สีวิกา ฉายาวรเดช
ภาพ : เอกลักษณ์ ไม่น้อย, IG : @kambum
กราฟิก : Jutaphun Sooksamphun