“ผู้สูงอายุ” กับ “ภาวะซึมเศร้า” ถือเป็นปัญหาใหญ่ที่หลายคนมองข้าม เพราะอาการของโรคไม่ได้บ่งบอกถึงความเจ็บปวดทรมานทางด้านร่างกาย แต่ในทางกลับกัน ภาวะซึมเศร้าในผู้สูงอายุเป็นภาวะที่ทำร้ายสุขภาพจิตใจ ซึ่งหากปล่อยไว้ ไม่ให้ความสำคัญหรือไม่ทำความเข้าใจ อาการของโรคสามารถกระทบต่อความสุขในชีวิต และส่งผลกระทบต่อคนรอบข้างได้ สิ่งที่น่าเป็นกังวลคือ จากการศึกษาพบว่าสถิติการฆ่าตัวตายของผู้สูงวัยที่ป่วยเป็นโรคซึมเศร้ามีมากกว่าผู้ป่วยในวัยอื่นๆ ที่เป็นเช่นนี้มาจากบทบาททางสังคมของผู้สูงอายุลดลง และอยู่ในภาวะพึ่งพาลูกหลาน จึงทำให้ผู้สูงอายุซึมเศร้าได้ง่าย

ทำความเข้าใจ ภาวะซึมเศร้าในผู้สูงอายุ 

ภาวะซึมเศร้าในผู้สูงอายุ (Late-life depression) พบได้ในผู้สูงอายุ แบ่งเป็น 2 แบบ คือ อาการซึมเศร้าที่เป็นมาก่อนเข้าสู่วัยสูงอายุ และที่เกิดในช่วงที่เข้าสู่วัยสูงอายุแล้ว ภาวะซึมเศร้าในผู้สูงวัยพบมากถึง 10-20% ของประชากร และส่วนใหญ่เป็นผู้หญิงมากกว่าผู้ชาย โดยเฉพาะผู้ที่หย่าร้าง อยู่ตัวคนเดียว หรือสูญเสียบุคคลอันเป็นที่รัก หรือป่วยเป็นโรคเรื้อรังซึ่งรักษาไม่หายขาด อาทิ โรคมะเร็ง กระทั่งการอยู่ในสภาพแวดล้อมของครอบครัวที่สมาชิกแต่ละคนมีพื้นที่ส่วนตัวสูง ไม่สามารถระบายความในใจกับใครได้ จะมีความเสี่ยงกับภาวะนี้มากขึ้น

...

7 อาการของ “โรคซึมเศร้า” ที่ลูกหลานพึงให้การสังเกต

สิ่งที่ลูกหลานหรือแม้แต่คนทั่วไปควรทราบคือ “ความเครียด” ที่เป็นตัวสำคัญ และมีผลต่อทั้งอารมณ์ จิตใจ ดังนั้น เมื่อผู้ป่วยเครียดมากๆ จนไม่สามารถจัดการได้ นั่นจึงเป็นสาเหตุสำคัญของโรคซึมเศร้า หากพบว่าผู้สูงอายุหรือคุณพ่อคุณแม่มีอาการดังที่จะกล่าวนี้นานเกิน 2 อาทิตย์ อาจเข้าข่ายป่วยโรคดังกล่าว จึงควรรีบพาไปพบแพทย์ สำหรับอาการของโรคซึมเศร้าที่ลูกหลานพึงให้การสังเกตนั้น มีด้วยกันตั้งแต่

1. นิ่ง พูดคุยน้อย เมื่อผู้สูงอายุนิ่ง ไม่ค่อยตอบสนอง ส่งผลให้ผู้ดูแลไม่ทราบว่าจะพูดอย่างไรให้ถูกใจ บางครอบครัวจึงปล่อยให้ผู้สูงอายุอยู่ตามลำพัง ซึ่งไม่ถูกต้อง คำแนะนำสำหรับผู้ดูแล ควรให้ความรักแก่ผู้สูงอายุ หมั่นสังเกตและใส่ใจความรู้สึก อารมณ์ และความคิด พร้อมทั้งเปิดโอกาสผู้สูงอายุได้พูดในสิ่งที่ต้องการ หรือชวนพูดคุยเรื่องที่ผู้สูงอายุสนใจ เช่น คุยถึงเรื่องราวในอดีตที่มีความสุข โดยแนะนำให้ผู้ดูแลควรเป็นฝ่ายตั้งคำถามก่อน และไม่ควรขัดจังหวะ หรือตัดบท 

2. รับประทานอาหารน้อยลง หรือแทบไม่กินเลย เมื่อผู้สูงอายุเริ่มรับประทานอาหารได้น้อยลง น้ำหนักลดลงอย่างมากโดยที่ไม่ได้ตั้งใจอดอาหาร มีความเสี่ยงต่อภาวะขาดสารอาหาร ลูกหลานควรปรับเปลี่ยนเมนูอาหารให้น่ารับประทานขึ้น โดยเลือกเมนูอาหารอ่อนๆ ย่อยง่าย และไม่กระทบต่อโรคประจำตัวของผู้สูงอายุ 

3. ไม่อยากทำอะไร เฉื่อยชา ความสนใจสิ่งต่างๆ ลดลงมาก หรือไม่อยากพูดคุยกับใคร ไม่อยากทำอะไรเกือบทุกวัน เบื่อหน่ายมาก อะไรที่เคยชอบก็ไม่อยากทำ รวมทั้งไม่สนใจที่จะดูแลตนเอง จากที่เคยเป็นคนใส่ใจดูแลตนเองมาก แต่ตอนนี้กลับไม่สนใจการแต่งตัว ช่วยเหลือตนเองได้น้อยลง แม้แต่เรื่องง่ายๆ เช่น การแต่งตัว เป็นต้น หากผู้สูงอายุในบ้านมีอาการลักษณะนี้ แนะนำให้ผู้ดูแลพยายามกระตุ้นให้ผู้สูงอายุทำกิจกรรมต่างๆ โดยเฉพาะกิจกรรมง่ายๆ ให้เขารู้สึกภาคภูมิใจในตนเองมากขึ้น อีกทั้งควรกระตุ้นให้ผู้สูงอายุดูแลสุขภาพของตนเอง เช่น การแปรงฟัน ทำความสะอาดช่องปาก พยายามกระตุ้นให้เคลื่อนไหวร่างกาย ออกกำลังกายพอสมควร หรือหากมีปัญหาด้านการมองเห็น ควรพาไปพบจักษุแพทย์ตรวจวัดสายตาและใส่แว่นตา หรือรักษาเพื่อลดอุบัติเหตุจากการมองไม่เห็น 

4. ชอบนอนเฉยๆ ชวนไปไหนก็ไม่ค่อยอยากไป ในกรณีผู้สูงอายุชอบเก็บตัว และแยกตัวจากผู้อื่น ลูกหลานชวนไปไหนก็ไม่อยากไป แนะนำให้ลูกหลานพยายามเข้าหา ควรหากิจกรรมทำ โดยควรเริ่มจากกิจกรรมเล็กๆ ในครอบครัว เพราะหากปล่อยทิ้งไว้เช่นนี้ จะทำให้ผู้สูงอายุปลีกตัวมากขึ้น อารมณ์จะยิ่งเลวร้ายลง 

5. นอนไม่หลับ หรือนอนมากเกินไปเกือบทุกวัน ปัญหาการนอนและหากตอนกลางคืนไม่หลับ อาจชวนทำกิจกรรมเบาๆ เช่น ฟังเพลง อ่านหนังสือ หรือฟังธรรมะ หากนอนไม่หลับติดต่อกัน 3-4 วันขึ้นไป ควรพบแพทย์ หรือหากผู้สูงอายุชอบนอนกลางวัน ถ้าง่วงมากให้นอนได้ระหว่าง 12.00-14.00 น. แล้วปลุก เพราะถ้านอนกลางวันมากเกินไป ตอนกลางคืนย่อมมีปัญหาการนอน

6. อารมณ์แปรปรวน หงุดหงิด ฉุนเฉียว หรือน้อยใจง่าย หากผู้สูงอายุมีอาการหงุดหงิด โมโหง่าย หรือขี้บ่น ลูกหลานหรือผู้ดูแลไม่ควรโวยวายหรือโต้เถียง เพราะยิ่งโต้เถียงจะยิ่งทำให้ผู้สูงอายุเกิดอารมณ์ขุ่นมัวขึ้น และตัวผู้ดูแลก็จะอารมณ์เสียตามไปด้วย สิ่งที่ควรปฏิบัติคือการต้องรับฟังอย่างเข้าใจ ปล่อยให้ผู้สูงอายุระบายความรู้สึกออกมาก่อน และหาวิธีเพื่อลดความหงุดหงิดนั้นๆ รวมถึงพยายามเบนความสนใจจากเรื่องที่ทำให้ผู้สูงอายุหงุดหงิด อาจจะจับมือและนวดเบาๆ ที่หลังมือของผู้สูงอายุระหว่างคุย จะช่วยลดอารมณ์หงุดหงิดฉุนเฉียวได้

7. บ่นว่าตนเองเป็นภาระของลูกหลาน รู้สึกไร้ค่าหรือรู้สึกผิดมากกว่าปกติ เป็นเกือบทุกวัน เบื่อตนเองมาก รู้สึกว่าตนไร้ค่า มีความคิดอยากตายหรืออยากทำร้ายตนเอง เมื่อผู้สูงอายุมีอาการเหล่านี้ ผู้ดูแลควรสังเกตความผิดปกติเล็กๆ น้อยๆ ซึ่งอาจบ่งบอกว่ามีความคิดที่จะทำร้ายตนเอง และเฝ้าดูแลอย่างใกล้ชิด พยายามไม่ให้คลาดสายตา และพยายามหาคุณค่าในตัวผู้สูงอายุและบอกให้ผู้สูงอายุรับทราบ รับฟังปัญหาโดยต้องเป็นผู้ฟังที่ดี ไม่ตำหนิความคิดของผู้ป่วย อีกทั้งต้องไม่พูดว่าเรื่องของผู้ป่วยเป็นเรื่องเล็กน้อย หรือรีบพาไปพบแพทย์ เพื่อช่วยกันวางแผนการดูแลผู้สูงอายุอย่างถูกต้องเหมาะสม 

...

แนวทางการช่วยเหลือผู้สูงอายุที่มีภาวะซึมเศร้า

เนื่องจากสาเหตุการเกิดภาวะซึมเศร้านั้นเกิดจากหลายปัจจัย ทั้งการทำงานของสมองเกิดสารสื่อประสาทไม่สมดุล การเปลี่ยนแปลงด้านร่างกายและจิตใจ สังคม สภาพแวดล้อม ปัญหา ประสบการณ์ การเปลี่ยนแปลงบทบาทหน้าที่ต่างๆ หรือแม้แต่ภาวะการสูญเสีย การดูแลจึงจำเป็นต้องบูรณาการการรักษาควบคู่กันหลายด้าน ทั้งการใช้ยา การบำบัด การปรับเปลี่ยนพฤติกรรม และสภาพแวดล้อมร่วมด้วย ขึ้นอยู่กับอาการ บริบท และความเหมาะสมของแต่ละบุคคล อาจต้องใช้เวลาและการดูแลเอาใจใส่มากกว่าปกติ

ดังนั้นเมื่อผู้สูงอายุเริ่มรู้สึกไม่ดี เหงา เบื่อ หรือเศร้า เราควรรีบสังเกต สอบถามความรู้สึกของท่าน และแสดงความรัก ความอบอุ่น ความห่วงใย ผ่านการใช้ช่วงเวลาคุณภาพร่วมกัน เช่น การพูดคุย ทำอาหาร เล่นเกมกีฬาร่วมกันในครอบครัว หรือแม้แต่การได้มีส่วนร่วมกับกิจกรรมทางสังคม ใช้เวลาในชีวิตประจำวันทำกิจกรรมต่างๆ ที่ผู้สูงอายุชื่นชอบ หรือให้คุณค่ากับมัน ก็สามารถสร้างความสุขสดชื่นต้านเศร้าได้อย่างดีเลยค่ะ

...

ขอบคุณข้อมูล : ปพิชญา ลีลาไว นักกิจกรรมบำบัด ศูนย์ Let’s Talk รพ.พญาไท พหลโยธิน