เมื่อเอ่ยถึงชื่อวงสาวสาวสาว วัยรุ่น Gen Z จนถึง Gen Alpha น้อยคนที่จะรู้จัก แต่ถ้าเอ่ยถึงเพลง “รักคือฝันไป” ที่ถูกนำมาร้องใหม่ และนำมาใช้ในภาพยนตร์แฟนฉัน หลายคนคงร้องอ๋อ!! นอกจากนี้เมื่อ 2 ปีที่ผ่านมาเพลงนี้ยังกลายเป็นไวรัลดังในโลกโซเชียลให้เหล่า Gen X ได้รำลึกความหลัง และทำให้คนวัยอื่นๆ ได้รู้จักวงนี้มากขึ้นอีกด้วย
วงสาวสาวสาว ประกอบด้วยสมาชิก 3 คนคือ พี่ปุ้ม-อรวรรณ เย็นพูนสุข พี่แอม-เสาวลักษณ์ ลีละบุตร และพี่แหม่ม-พัชริดา วัฒนา เป็นเกิร์ลกรุ๊ปไทยวงแรกในตำนานที่เกิดขึ้นในยุค 80 ซึ่งปัจจุบันสมาชิกทั้ง 3 คนมีอายุ 50 ปลายๆ ที่จะถึงวัย 60 ในอีกไม่กี่ปีนี้ แต่ความสดใส ร่าเริง สนุกสนาน ไม่ได้ลดลงตามวัยแม้แต่น้อย
...
ทีมไลฟ์สไตล์ไทยรัฐได้มีโอกาสพูดคุยกับพี่ๆ ทั้ง 3 คน ถึงการเตรียมตัวในคอนเสิร์ตใหญ่ครั้งใหม่ในเดือนพฤษภาคมที่จะถึงนี้ หลังจากที่เว้นไปนานถึง 6 ปี ครั้งนี้จะเปลี่ยนแปลงไปอย่างไรบ้าง รวมถึงการรับมือกับช่วงวัยที่เปลี่ยนผ่าน จากวันแรกที่ออกอัลบั้มในวัย 16 ปี จนถึงวันนี้ที่ใกล้ 60 ปีแล้ว มีอะไรที่เปลี่ยนไปบ้าง
คอนเสิร์ตครั้งนี้ต่างจากเมื่อ 6 ปีที่แล้วอย่างไร
พี่แหม่ม : “น่าจะต่างในเรื่องของการเชื่อมต่อมากกว่า คราวที่แล้วที่พี่ฉอด (สายทิพย์ มนตรีกุล) ทำมันเหมือนสาวสาวสาวกลับมาใหม่ หลังจากที่ไม่ได้ขึ้นเวทีคอนเสิร์ตด้วยกันเลย 30 กว่าปี เหมือนเป็นการรื้อฟื้นให้เพลงฮิตทุกเพลงกลับมาอยู่บนเวทีนั้นหมด เล่าเรื่องตั้งแต่วันแรก แต่คอนเสิร์ตครั้งนี้น่าจะเป็นการพูดถึงปัจจุบันแล้ว พี่แอมให้คอนเซปต์ว่า Now & Then”
พี่แอม : “เราทำกันมา 10 อัลบั้ม มีเพลงเยอะมาก เราจึงไม่สามารถนำเสนอได้ครบในคอนเสิร์ตเดียว ตอนนั้นเราก็ตัดออกไปหลายเพลง ในครั้งนี้เราก็ดึงมันกลับเข้ามา เป็นภาคต่อ และเพลงฮิตก็ยังต้องมีอยู่แล้ว เพียงแต่ว่าเราต้องมีการปัดฝุ่น เอาสิ่งต่างๆ ที่อยู่ไม่ครบ หรือตกหล่นหายไป ก็จะเติมเข้ามาในคอนเสิร์ตนี้ และด้วยการที่สไตล์ของผู้จัดที่ต่างกัน รูปแบบการนำเสนอก็ต่างกันไปด้วย ส่วนพวกเราก็ต้องทำการบ้านเยอะเหมือนกัน เพราะต้องกลับมารื้อความจำ และมีท่าเต้นที่คนจำได้ด้วย ไม่ใช่ว่ามาถึงปุ๊บจับไมค์แล้วร้องได้เลย ก็ต้องทำการบ้านด้วย”
พี่ปุ้ม : “จริงๆ ก็ไม่ใช่คอนเสิร์ตภาคต่อ เพราะอันนั้นก็จบไปแล้ว เล่าตั้งแต่เริ่มต้นเป็นยังไง ไทม์ไลน์เป็นยังไง ตั้งแต่อัลบั้มแรกจนถึงศิลปินเดี่ยว แต่คอนเสิร์ตครั้งนี้คือตัวเราจริงๆ สิ่งที่เราชอบ สิ่งที่เราเป็นคืออะไรใน ณ วันนี้ เป็นการเล่าเรื่องในมุมปัจจุบัน”
แฟนๆ ของวงสาวสาวสาวเป็นกลุ่มไหนบ้าง
พี่แหม่ม : “แฟนๆ กลุ่มหลักคือคนที่รู้จักสาวสาวสาว ส่วนมากก็จะเป็นคนที่โตมาพร้อมกันกับเรา ถึงได้รู้จักและอยากมาดูเรา เพราะเราคือช่วงหนึ่งในชีวิตเขาเหมือนกัน ส่วนกลุ่มคนที่เราไม่คาดหวังแต่ก็มีมาแล้วจริงๆ ก็คือคนที่ไม่รู้จักเรามาก่อนเลยก็มาดู เพราะคนที่ชอบดูงานคอนเสิร์ตมันก็มีจากคราวที่แล้ว ก็เลยคิดว่าคราวนี้ก็ต้องมีบ้างแหละ”
พี่แอม : “แฟนคลับเรามีหลายกลุ่มมาก มีตั้งแต่เด็กเล็กๆ ไปจนถึงผู้ใหญ่ที่ต้องนั่งวีลแชร์มาดู แต่เขามาดูก็มีความสุข มันเชื่อมกันได้ยังไงพี่ก็ไม่ทราบเหมือนกัน แต่ก็เกิดขึ้นแล้ว”
...
พี่แหม่ม : “อาจจะเป็นพ่อแม่อยากให้ลูกรู้จักด้วย บางทีเปิดให้ฟังตั้งแต่เด็กเขาก็ร้องเพลงเราได้”
พี่แอม : “มาเจอภาพยนตร์แฟนฉันเข้าไปอีก เด็กบางคนรู้จักเพลงรักคือฝันไป แต่ไม่รู้จักสาวสาวสาว ว่าใครเป็นต้นแบบ ก็มารู้จักตอนที่เรามารวมตัวกัน เพราะการมารวมตัวกันแต่ละครั้งก็ต้องไปออกทีวี หรือออกสื่อต่างๆ เขาก็ได้รู้ว่า อ๋อ ยาย 3 คนนี้เองเหรอที่ร้องเพลงนี้”
พี่ปุ้ม : “พี่เคยไปงานวันเกิดน้องคนหนึ่ง แล้วมีเด็กเล็กไปกับคุณพ่อคุณแม่เขา ตอนแรกเขาก็ไม่ได้สนใจเราเลย เจ้าภาพก็เชิญเราขึ้นไปร้องเพลงรักคือฝันไป น้องคนนั้นก็สนใจขึ้นมาทันทีว่าคนนี้เหรอที่ร้องเพลงนี้”
พี่แอม : “ของพี่ล่าสุดคือละครเวทีแฟนฉันที่ต้องเล่นกับเด็กๆ ทั้งโขยงเลย เป็นเด็กแบบว่ารุ่นหลานยายเลยจริงๆ ก็ไม่มีทางที่จะรู้จักเราได้ ซึ่งจะมีเต้นเพลงรักคือฝันไปด้วย แล้วคุณบอย ถกลเกียรติก็บอกกับเด็กๆ ตั้งแต่ตอนประชุมว่าให้แนะนำตัวใครเป็นใคร นี่พี่แอม เป็นคนร้องเพลงรักคือฝันไปคนแรก เด็กๆ ก็จะฮือฮากันมาก เพราะวันแรกที่ไปเจอยังเฉยๆ กันอยู่ แต่ตอนหลังก็รักกันมาก กระโดดกอดกันทุกวัน”
...
พี่แหม่ม : “คอนเสิร์ตคราวที่แล้วก็จะมีบางคนที่เริ่มมาเองไม่ไหวก็มีลูกหลานพามา ลูกหลานก็เพิ่งมารู้จักเราจากงานนั้นแหละ ก็ทำให้เขาติดตามเราต่อไป”
คาดหวังกับคอนเสิร์ตครั้งนี้ยังไงบ้าง
พี่แหม่ม : “ไม่กล้าคาดหวัง เรียกว่าไม่คาดหวังดีกว่า แต่เราก็ทำเต็มที่ อะไรจะเกิดมันก็เกิด เราอยากให้คอนเสิร์ตมันออกมาสนุก จะได้ไม่เครียด เดี๋ยวจะไม่สนุก”
พี่ปุ้ม : “คาดหวังว่าร่างกายเราจะพร้อมในวันแสดง เพราะเมื่อ 6 ปีที่แล้วแทบไม่มีความพร้อมอะไรกันเลย”
พี่แหม่ม : “พี่ฉอดถึงขั้นบอกว่าเต้นให้มันพร้อมกันหน่อย แต่ถามว่าตั้งใจไหม ตั้งใจ”
...
พี่แอม : “เราก็รับผิดชอบในหน้าที่ของตัวเอง ที่ผ่านมาเราอาจจะเอาหน้าที่คนอื่นมาปนด้วยก็เลยคิดเยอะก็เลยเครียดเกินไป ตอนนี้ก็เลยคิดว่ารับผิดชอบในหน้าที่ที่เราต้องทำก็พอ ถ้าจะให้พูดง่ายๆ ก็คือทำเหตุให้พร้อม แล้วปล่อยวางในผล เพราะเมื่อถึงตอนนั้นเราก็ไม่สามารถกำหนดผลของมันได้”
พี่แหม่ม : “เอาจริงๆ วันนี้ตกใจมากกว่าว่าวันนี้ยังมีคนอยากดูสาวสาวสาวอยู่อีกเหรอ อันนี้ตกใจริงๆ นะ เพราะไม่น่าเชื่อเหมือนกันค่ะ งง”
พี่ปุ้ม : “ตั้งแต่คราวที่แล้วเราก็งงที่บัตรหมดเร็ว ตกใจว่าจริงเหรอ”
พี่แอม : “ก่อนหน้านี้ที่มาติดต่อให้ทำคอนเสิร์ต เราก็บอกไปว่าไม่ทำ เพราะครั้งก่อนก็จบไปแล้ว และคิดว่าคงไม่มีใครอยากมาดู รู้สึกแปลกใจที่ตัวเองยังต้องกลับมาร้องเพลงรักคือฝันไปในวัยนี้อีก และที่แปลกใจกว่านั้นคือคนดูก็ยังร้องเพลงเราได้ ยังเต้น ยังสนุกกับเราได้ มันเลยทำให้คอนเสิร์ตสาวสาวสาวเหมือนงานเลี้ยงรุ่นคนที่เป็นเพื่อนเติบโตมาในช่วงเวลาเดียวกัน”
บอกเคล็ดลับการดูแลตัวเองให้ดูอ่อนกว่าวัยได้ไหม
พี่แอม : “พี่เป็นคนที่มีวินัยในการดูแลตัวเองน้อยที่สุด แต่คิดว่าอาจจะเป็นที่สไตล์ของเราเอง ไม่ว่าการแต่งตัว หรืออะไรก็ตาม พี่คงไม่นุ่งผ้ามัดหมี่ตีนจกให้สมวัยอย่างที่ควรจะเป็น เพราะเราไม่ถนัดกับการใส่เสื้อลูกไม้ไปวัด จริงๆ คนสมัยนี้ก็แต่งตัวทันสมัย ส่วนตัวพี่เองเคยแต่งตัวยังไงก็ยังแต่งแบบเดิม ไม่ได้แตกต่าง ยังใส่เชิ้ต ใส่ยีนส์ ใส่เนกไท หมวกแก๊ป ก็เลยคิดว่าอาจเป็นที่บุคลิกเราส่วนหนึ่ง ถ้าจับไปนุ่งผ้าถุงใส่เสื้อคอกระเช้าก็อาจจะเป็นอีกคนหนึ่งก็ได้”
พี่แหม่ม : “ด้วยความที่เราก็เป็นแบบนี้ แต่อีกส่วนหนึ่งก็ดูแลตามสภาพ ไม่ได้ถึงขนาดที่ว่าต้องไปฉีดให้หน้าตึงตลอดเวลา แต่เมื่อใกล้ถึงเวลาสำคัญ เช่น จะจัดคอนเสิร์ตแล้วก็ไปซะหน่อย แต่อีกส่วนหนึ่งที่สำคัญที่สุดเลยพี่ว่าน่าจะเป็นเพราะด้วยความที่เราไม่ได้ห่วงสวยกันจนมากเกินไป จิตใจเราก็ลั้ลลา เรารู้สึก Young at heart”
พี่แอม : “ความสวยไม่เคยเป็น reputation ของเรา เราก็เลยเฉยๆ เพราะไม่เคยมีใครพูดถึงว่าวงสาวสาวสาวนั้นสวย ไม่มี”
พี่ปุ้ม : “พี่ก็ดูแลตัวเองเท่าที่จะเป็นไปได้ ไม่ได้พยายามตะเกียกตะกายอะไรมาก คือธรรมชาติของเรา 3 คนคือขี้เกียจไปร้านทำหน้าทำผม นวดหน้านวดตัว เพราะเป็นคนขี้รำคาญ ไม่ชอบไปเสียเวลานั่งนานๆ ทำสีผมนานๆ ก็ไม่ทำ เว้นแต่เวลามีงานถึงจะไปทำ ส่วนใหญ่ก็จะปล่อยมันไป เราจะตื่นตัวเมื่อเวลามีงานเท่านั้น”
พี่แหม่ม : “ก็จะปล่อยไปตามสภาพ จะบูรณปฏิสังขรณ์เมื่อเวลามีงาน เพื่อสุขภาพจิตของผู้ชม”
มีการดูแลร่างกายอย่างไรบ้าง
พี่แหม่ม : “เอาจริงๆ การดูแลตัวเองเรื่องร่างกายมันมาหลังจากที่ป่วยนะคะ เพราะว่าเมื่อก่อนก็เป็นคนประเภทแบบไม่ดูแลเลย คิดว่าร่างกายมันดียังคงกระพัน จนอายุ 40 กว่าเริ่มมีการเจ็บไข้ได้ป่วยหลายเรื่อง ก็เลยเริ่มดูแลตัวเองมากขึ้น ส่วนตัวพี่ก็เรียนโยคะมา 10 กว่าปีแล้ว ก็ยังต่อเนื่องมาตลอดเพราะชอบ”
พี่แอม : “ส่วนตัวพี่ก็ผลุบๆ โผล่ๆ ค่ะ โยคะก็เคยเรียน เมื่อก่อนจะชอบไปเดินออกกำลังกายที่สวนสาธารณะที่สวนหลวง ร.9 เดินรอบหนึ่งก็ประมาณ 4.5 กิโลเมตร แต่ก็ไม่ได้ทำแบบสม่ำเสมอ บางช่วงที่ขี้เกียจก็เว้นไปบ้าง แต่ตอนนี้ใกล้คอนเสิร์ตก็ต้องกลับมาออกกำลังใหม่ แต่ก็ต้องระวังแดด ระวังฝ้าด้วย แล้วยังมีเรื่องฝุ่น PM 2.5 ด้วย บางทีก็ชอบหยุดถ่ายรูปดอกไม้บ้างอะไรบ้าง”
พี่ปุ้ม : “พี่ก็มีออกกำลังกายบ้างแล้วแต่ความขยัน เคยไปลงคอร์สฟิตเนส 10 ครั้ง แต่ไปแค่ 3 ครั้ง เคยซื้อเครื่องออกกำลังกายมาไว้ที่บ้าน ตอนแรกก็ใช้ดี แต่ตอนนี้เป็นที่ตากผ้า”
มีการคุมเรื่องอาหารการกินบ้างไหม
พี่แหม่ม : “อาหารการกินของพี่แหม่มก็เริ่มจากตอนที่ป่วยนั่นแหละค่ะ เมื่อก่อนนี้ของมันคือของโปรด ชอบมาก แต่กินแบบนี้ถึงได้ป่วย ร่างกายไม่แข็งแรง หลังๆ นี่ก็เลิกไปเยอะ แต่ถามว่าเครียดไหม ไม่เครียดเพราะมีความรู้สึกว่าเมื่อก่อนกินมากเกินไป ตอนนี้ก็ระวังนิดหน่อย กินอย่างมีสติมากขึ้น ไม่คุมอาหารเลย แต่เป็นเพราะไม่ชอบกินจุกจิก จะกินเป็นมื้อๆ แล้วจบ แต่กินทุกอย่างนะคะ”
พี่แอม : “พี่มีวินัยน้อยสุด เคยทำ IF บ้าง เวลาที่รู้สึกว่าตัวเองปล่อยใจมากไปหน่อย เพราะชอบกินไอศกรีมมาก และกินตอนดึกด้วย ทำให้มีแคลอรีสูง ก็เลยต้องทำ IF เพื่อชดใช้กรรมบ้าง อดอาหารจนกว่าจะครบ 12-16 ชั่วโมง ถ้าหิวมากๆ ก็แก้ปัญหาด้วยการหนีไปนอน จะได้ไม่หิว แต่ก็ฝันว่ากิน”
พี่ปุ้ม : “พี่เป็นคนกินเยอะ แต่จะกินจนพอแล้วก็หยุด แต่ตอนนี้ก็ต้องระวังบ้างเหมือนกัน เพราะการเผาผลาญไม่เหมือนเดิม จากที่เคยเพลิดเพลินกับการกินก็ต้องลดให้น้อยลง จะกินก็ต่อเมื่ออยากกิน จะไม่ค่อยกินจุกจิก”
พี่แหม่ม : “พี่เคยทำร้านกาแฟในร้านก็จะมีขนม เราก็ต้องกินต้องชิมด้วย เมื่อก่อนไม่เคยกินจุกจิก ก็เลยไม่มีปัญหาเรื่องคอเลสเตอรอล หรือไตรกลีเซอไรด์เลย แต่พอมาทำร้านกาแฟก็เพิ่มขึ้นทันทีเลย ขนาดเราใช้เนยแท้ ใช้วัตถุดิบดี เพราะฉะนั้นถ้าเป็นวัยเดียวกันจะเตือนให้ระวังเลย”
ตั้งแต่อดีตถึงปัจจุบัน ที่ต้องพบเจออะไรมาเยอะมาก พวกพี่มีวิธีก้าวข้ามผ่านอุปสรรคยังไงบ้าง
พี่แหม่ม : “ก็เวลาแหละค่ะ จากตอนเด็กๆ ที่เราไม่เคยคาดหวัง แล้วดังขึ้นมา พอดังไปสักพักมันก็จะเริ่มดังน้อยลง โชคดีที่คุณแม่เป็นนักร้องอยู่แล้ว จะพูดกับเราเรื่องนี้เสมอ ทำให้เรามีภูมิคุ้มกันอยู่บ้างแล้ว ชีวิตจริงก็เป็นอย่างนั้น ตอนเป็นสาวสาวสาวก็ดังมาก สักพักก็ดังน้อยลง ตอนไปอยู่อาร์เอสตอนเปิดตัวดังมาก พออยู่ไปสักพักก็ดังน้อยลง ทุกอย่างมีเวลาของมัน เพราะฉะนั้นก็ทำให้เรามองทุกอย่างเป็นเรื่องธรรมดา เลยมีความรู้สึกว่าไม่ต้องทำอะไรเพื่อให้ผ่าน มันก็จะผ่านได้สบายๆ เป็นคนไม่ค่อยคิดอะไรมาก ไม่ค่อยเครียดกับเรื่องดังไม่ดัง”
พี่ปุ้ม : “เหมือนกับว่าอะไรจะเกิด ไปใส่ใจกับเรื่องอื่นมากกว่า เหมือนกับว่าอะไรจะเกิดมันก็เกิด เราก็จัดการมันไป ไม่ได้ไปฟูมฟายอะไร แล้วก็มีสติ”
จากการได้พูดคุยกับวงสาวสาวสาวทั้ง 3 คน สิ่งที่สัมผัสได้คือพลังงานที่ล้นเหลือ และเต็มไปด้วยความสนุกสนานมีชีวิตชีวา แต่ก็มาพร้อมด้วยข้อคิดดีๆ ในการใช้ชีวิต จึงไม่แปลกใจว่าทำไมจึงมีฐานแฟนคลับที่เหนียวแน่น และยังสามารถดึงกลุ่มคนรุ่นใหม่ให้มาติดตามเพิ่มได้แม้ว่าจะอยู่คนละช่วงวัยกันก็ตาม
สำหรับคอนเสิร์ตสาวสาวสาวในปี 2567 นั้น จัดโดยหนีกรุง คอนเน็ค โดยใช้ชื่อว่า “สาว สาว สาว ประตูใจคอนเสิร์ต” จัดขึ้นในวันเสาร์ที่ 25 และวันอาทิตย์ที่ 26 พฤษภาคม 2567 ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ เริ่มจำหน่ายบัตรวันที่ 28 มีนาคม 2567 ที่ไทยทิคเก็ตเมเจอร์ ทุกสาขา
ภาพ : เอกลักษณ์ ไม่น้อย