เมื่อเข้าสู่วัยผู้สูงอายุ หลายคนก็อยากมีอายุยืนยาวเพื่อใช้ชีวิตบั้นปลายอย่างมีความสุข ซึ่ง 5 เคล็ดลับนิสัยดีที่พาอายุยืนนั้นเราได้เอ่ยถึงไปแล้วว่ามีอะไรบ้าง แต่ขณะเดียวกันก็ควรรู้จัก 5 นิสัยอันตรายที่พาให้อายุสั้นลงด้วย เพื่อให้เราหันมาสังเกตตัวเองว่ามีนิสัยเหล่านี้ไหม

ถึงแม้จะเป็นผู้สูงวัยแล้วก็ยังสามารถปรับเปลี่ยนนิสัยแย่ๆ เหล่านี้ได้ ลองตั้งเป้าหมายเล็กๆ ค่อยๆ ปรับไปทีละอย่าง เช่น ฝึกแสดงความเห็นอกเห็นใจผู้อื่นมากขึ้น หรือตั้งใจฟังมากขึ้น รู้จักควบคุมอารมณ์เวลาอยากเถียงแบบไร้เหตุผล ลองหายใจลึกๆ 2-3 ครั้ง ถอยออกจากสถานการณ์นั้นๆ แล้วลองสำรวจว่าคุณรู้สึกอย่างไรบ้าง

1. อายุสั้นถ้า…ก้าวร้าวหรือขี้โมโห

แม้ว่าความก้าวร้าวหรือขี้โมโหมักจะเป็นเรื่องของความโกรธและพฤติกรรมก้าวร้าว แต่ส่งผลต่อนิสัยที่แสดงถึงความไม่เป็นมิตร การต่อต้าน ความขุ่นเคือง ความแปลกแยก การไม่เห็นด้วย ไปจนถึงพฤติกรรมรุนแรง (ที่มา: Mind Help) คนแบบนี้มักมีปัญหาในเรื่องการสื่อสารและความสัมพันธ์ ซึ่งนำไปสู่การโดดเดี่ยวทางสังคมและความเครียดที่สูงขึ้น โดยระดับคอร์ติซอลหรือที่เรียกว่า “ฮอร์โมนแห่งการต่อสู้หรือหนี” ที่หลั่งออกมาตอนก้าวร้าว สามารถส่งผลเสียต่อสุขภาพในระยะยาวได้ การวิจัย (อ้างอิงจาก Handbook of Cardiovascular Behavioral Medicine) ระบุว่า ระดับคอร์ติซอลที่สูงอย่างต่อเนื่องนานๆ สามารถเพิ่มการอักเสบในร่างกาย และทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอลงได้

...

ภาพจาก iStock
ภาพจาก iStock

จากผลวิจัยปี 2013 ที่ตีพิมพ์ในวารสารของสมาคมโรคหัวใจอเมริกัน (Journal of the American Heart Association) ชี้ชัดว่า คนที่ก้าวร้าวขี้โมโหจะไม่ค่อยดูแลตัวเอง มีแนวโน้มที่จะสูบบุหรี่และมีการเคลื่อนไหวร่างกายน้อย ซึ่งเป็นเหตุทำให้เสี่ยงต่อโรคหัวใจและหลอดเลือดเพิ่มขึ้น ได้แก่ ความดันโลหิตสูง โรคหลอดเลือดสมอง และโรคหัวใจ โดยความเสี่ยงต่อการเสียชีวิตจากทุกสาเหตุก็สูงมาก เมื่อเทียบกับคนที่ไม่แสดงพฤติกรรมก้าวร้าว

ความก้าวร้าวหรือขี้โมโหนั้น บางคนอาจฝังรากมาตั้งแต่เกิด หรือไม่ก็ซึมซับจากสภาพแวดล้อม แต่การปรับเปลี่ยนให้ก้าวร้าวน้อยลงหรือใจเย็นขึ้นสามารถทำได้ ขอแค่ต้องมุ่งมั่นและตั้งใจให้เต็มที่ ต้องมีสติรู้เท่าทันการกระทำและความรู้สึกของตนเอง ซึ่งสามารถช่วยชะลอและจัดการกับสถานการณ์ต่างๆ ได้โดยไม่ตอบสนองอย่างรุนแรง การบรรเทาความเครียดด้วยโยคะ การทำสมาธิ และการกำหนดลมหายใจ จะช่วยลดความก้าวร้าวและผลกระทบต่อสุขภาพได้ และอาจปรึกษาผู้เชี่ยวชาญเพื่อช่วยให้คุณผ่านพ้นบาดแผลทางใจในอดีตและปัจจัยอื่นๆ ที่กระตุ้นให้เกิดพฤติกรรมโกรธได้ เปลี่ยนใจร้อนเป็นใจเย็น ชีวิตสุขขึ้นแน่นอน!

2. อายุสั้นถ้า…วิตกกังวลเกินเหตุ

Clinical Psychology Reviews ระบุว่า การวิตกจริตหรือมีความกังวลสูงเป็นนิสัยที่สะท้อนถึงคนที่มีแนวโน้มจะเกิดอารมณ์ด้านลบได้ง่าย เช่น วิตกกังวล กลัว กลุ้มใจ และหงุดหงิด ฯลฯ คนที่วิตกจริตมากๆ จะมีปฏิกิริยาทางอารมณ์และเกิดความเครียดได้มากกว่า โดยมักมองว่าสถานการณ์ต่างๆ เป็นอุปสรรคหรือถูกกดดัน ส่งผลให้ไวต่อความเครียด มีโอกาสเป็นทุกข์และไม่มีความมั่นคงทางอารมณ์ได้มากขึ้น

การกังวลใจเป็นสิ่งปกติ และหากกังวลใจมากจนเกินไปอาจส่งผลต่อสุขภาพจิต โดยเฉพาะโรควิตกกังวลและภาวะซึมเศร้า คนประเภทนี้มักรู้สึกกังวลใจ ร้อนรน กลัว และหงุดหงิดอยู่ตลอดเวลา จนนำไปสู่วงจรอารมณ์ด้านลบ กระตุ้นให้เกิดความเครียดทำให้รับมือกับปัญหาได้ยากขึ้น

ภาพจาก iStock
ภาพจาก iStock

ความเครียดเรื้อรังที่เกิดจากระดับความวิตกจริตสูงจะส่งผลเสียต่อร่างกายได้ ระดับฮอร์โมนความเครียดอย่างคอร์ติซอล (cortisol) ที่เกิดขึ้นเป็นเวลานานสามารถทำให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ จนนำไปสู่ปัญหาด้านหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคเรื้อรังบางอย่างได้ นอกจากนี้ คนที่วิตกกังวลมากๆ มีโอกาสที่จะมีพฤติกรรมที่เสี่ยงสุขภาพ เช่น สูบบุหรี่ ดื่มเหล้าจัด หรือนิสัยการกินที่ไม่ดี ซึ่งทำให้เสี่ยงต่อสุขภาพเพิ่มขึ้น (ที่มา: Journal of Psychiatry Research)

...

วิธีคลายความวิตกกังวล คือ ต้องฝึกฝนให้ตนเองมีสติและทำสมาธิ ซึ่งจะช่วยลดความเครียด ทำให้มองเห็นสถานการณ์ต่างๆ ได้ชัดเจนและมีเหตุผลมากขึ้น ส่วนการทำจิตบำบัดจะช่วย 'รีเฟรช' ความคิด และหาวิธีจัดการกับอารมณ์เชิงลบได้อย่างมีประสิทธิภาพ เสริมด้วยการดูแลตัวเองอย่างครบถ้วน เช่น ออกกำลังกายสม่ำเสมอ รับประทานอาหารที่มีประโยชน์ และนอนหลับพักผ่อนให้เพียงพอ เท่านี้ก็จะช่วยลดความวิตกกังวลและทำให้ความเป็นอยู่ดีขึ้นแล้ว

3. อายุสั้นถ้า…เก็บกดอารมณ์จนเครียด

การเก็บกดอารมณ์เป็นการพยายามควบคุมหรือระงับความรู้สึกข้างใน อาจจะโดยตั้งใจหรือไม่ตั้งใจก็ตาม เป็นการพยายามเก็บไว้ไม่ให้คนอื่นรู้ ซึ่งมักเกิดจากแรงกดดันทางสังคมหรือสถานการณ์ไม่เอื้ออำนวยให้แสดงอารมณ์ที่แท้จริงออกมา (ที่มา: Healthline)

คนเราบางครั้งก็ต้องพยายามเก็บอารมณ์บ้าง แต่ทำบ่อยๆ ก็ไม่ดีเพราะอาจกระทบกับร่างกายและจิตใจได้ ทำให้เครียดและกังวลเพิ่มขึ้น จนอาจนำไสู่ความผิดปกติทางอารมณ์ เช่น ภาวะซึมเศร้าและวิตกกังวล เป็นต้น

การเก็บกดอารมณ์เป็นเวลานานอาจส่งผลกระทบด้านลบต่อร่างกายได้เช่นกัน ความเครียดเรื้อรังจากการพยายามกดอารมณ์ไว้ตลอด จะทำให้ระดับฮอร์โมนความเครียดอย่างคอร์ติซอลพุ่งสูง ส่งผลให้ระบบภูมิคุ้มกันอ่อนแอ ความดันโลหิตสูงขึ้น และเพิ่มความเสี่ยงต่อโรคหัวใจ (ที่มา: Psychology Today) แถมยังอาจอาการทางกายที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับสภาวะใดๆ เลย อย่างปวดหัว ปวดเมื่อย หรือปัญหาระบบทางเดินอาหารอีกด้วย

เคล็ดลับในการสู้กับการ "เก็บกด" ก็คือ "ปล่อยวาง" รับรู้ถึงอารมณ์นั้นและแสดงความรู้สึกอย่างเหมาะสม ขอความช่วยเหลือจากเพื่อนฝูงญาติมิตร ฝึกสติให้อยู่กับปัจจุบัน หากรู้สึกเกินจะรับไหวก็ปรึกษาผู้เชี่ยวชาญได้เลย ทั้งหมดที่กล่าวมานี้สามารถช่วยเอาชนะอารมณ์หดหู่ และผลกระทบต่อสุขภาพได้ นอกจากนี้ การสร้างสภาพแวดล้อมที่เอื้อต่อการแสดงความรู้สึกอย่างเปิดเผยโดยไม่ตัดสิน จะเป็นอีกแรงที่ช่วยเยียวยาจิตใจและ สุขภาพโดยรวมได้

...

4. อายุสั้นถ้า…มัวแต่กลัวสายตาคนอื่น

กลัวสายตาคนอื่น ไม่กล้าออกสังคม เก็บกดความรู้สึก ปัญหาเหล่านี้ล้วนเป็นลักษณะนิสัยของคนที่ชอบเก็บตัว ปิดกั้นพฤติกรรมหรือการแสดงออกของตนเองในสถานการณ์ต่างๆ ทางสังคม โดยมักเกิดจากความรู้สึกประหม่า กลัวการถูกตัดสิน หรือต้องการหลีกเลี่ยงการประเมินในแง่ลบจากผู้อื่น ส่งผลให้ขาดความมั่นใจจนรู้สึกไม่กล้าแสดงออกอย่างอิสระ (ที่มา: Practical Psychology)

ภาพจาก iStock
ภาพจาก iStock

คนที่ชอบเก็บตัวมักเครียดและวิตกกังวลมากกว่าปกติเวลาเข้าสังคม เพราะกลัวการถูกมองในแง่ลบหรือกลัวการถูกปฏิเสธ ทำให้ขาดความมั่นใจ คิดมาก และรู้สึกประหม่าอึดอัด หากเก็บตัวนานๆ อาจนำไปสู่การโดดเดี่ยว ไม่มีเพื่อนสนิท หรือคนที่เข้าใจเราจริงๆ รู้สึกเหมือนอยู่ตัวคนเดียวบนโลก เศร้า ท้อแท้ และสิ้นหวัง ซึ่งอาจทำให้เป็นโรคภาวะซึมเศร้าและโรควิตกกังวลได้

ความเครียดต่อเนื่องที่เกิดจากการเก็บตัวส่งผลต่อร่างกายได้ ยิ่งเครียด ร่างกายยิ่งผลิตฮอร์โมนคอร์ติซอลเพิ่มขึ้น ส่งผลกระทบต่อระบบภูมิคุ้มกัน ทำให้ร่างกายอ่อนแอเจ็บป่วยได้ง่ายขึ้น งานวิจัยจาก Encyclopedia of Behavioral Medicine ชี้ให้เห็นว่า คนที่ชอบเก็บตัวจะมีความเสี่ยงต่อโรคหัวใจเพิ่มขึ้น

...

ใครที่ชอบเก็บตัวลองปรับวิธีคิดใหม่ สร้างความมั่นใจในตนเอง ฝึกฝนทักษะการเข้าสังคม ค่อยๆ เปิดใจออกไปพบปะผู้คน เพื่อลดความกลัวและความวิตกกังวล หรือแม้แต่การปรึกษาหรือการเข้ากลุ่มคนที่มีปัญหาคล้ายกันก็สามารถช่วยให้คุณเลิกเก็บตัวและช่วยลดผลกระทบต่อสุขภาพได้

5. อายุสั้นถ้า…ชอบเอาแต่ใจ

จมอยู่กับตัวเอง ระวังจะกลายเป็นคนที่ “เอาแต่ใจ” เกินไป เพราะมัวแต่สนใจสิ่งที่ตัวเองต้องการและอยากได้จนสร้างปัญหาให้กับคนอื่น ส่งผลเสียรอบด้านไม่ว่าจะเป็นความสัมพันธ์ย่ำแย่ เหงา และโดดเดี่ยว แถมยังไม่เห็นอกเห็นใจหรือเข้าใจความรู้สึกของคนอื่นเข้าไปอีก ก็ยิ่งยากที่จะพัฒนาความสัมพันธ์ที่ดีได้ ส่งผลให้รู้สึกแปลกแยกและเก็บตัวมากขึ้น ซึ่งอาจส่งผลให้เครียด วิตกกังวล และซึมเศร้าเพิ่มขึ้น

ภาพจาก iStock
ภาพจาก iStock

การหมกมุ่นอยู่กับตัวเองและความเครียดอาจส่งผลกระทบต่อสุขภาพกายได้เช่นกัน งานวิจัยที่ตีพิมพ์ในวารสาร PeerJ เมื่อปี 2017 เผยว่า ความเครียดเรื้อรังจากการมีปัญหากับคนอื่น หรือการแยกตัวออกจากสังคม อาจให้ระดับคอร์ติซอลพุ่งสูงจนทำให้ระบบภูมิคุ้มกันและหลอดเลือดหัวใจอ่อนแอลงได้

นิสัยเอาแต่ใจสามารถปรับเปลี่ยนได้ด้วยการฝึกเห็นอกเห็นใจผู้อื่น รับฟังอย่างตั้งใจ ใส่ใจคนรอบข้าง มีเมตตา พร้อมช่วยเหลือผู้อื่น และปรึกษาผู้เชี่ยวชาญ จะได้ปรับมุมมองให้กว้างขึ้น เพื่อพัฒนาความสัมพันธ์ให้ดีขึ้น และทำให้มีสุขภาพและความเป็นอยู่โดยรวมดีขึ้น

อย่างไรก็ตาม 5 นิสัยอันตรายเหล่านี้ ไม่ใช่แค่ผู้สูงอายุเท่านั้นที่ควรปรับตัว แต่ไม่ว่าจะอยู่ช่วงวัยใด หากรู้ว่าตัวเองมีนิสัยหรือทัศนคติเหล่านี้แล้วสามารถปรับเปลี่ยนได้เร็วตั้งแต่ตอนที่ยังอายุไม่มากนักก็จะยิ่งดีต่อสุขภาพกายและใจตนเอง รวมถึงดีต่อความสัมพันธ์กับคนรอบข้างในระยะยาว ที่จะช่วยทำให้อายุยืนขึ้นอีกด้วย

ข้อมูลอ้างอิง : Health Digest

อ่านบทความเกี่ยวกับวัยกลางคนและผู้สูงอายุได้ที่ Lifestyle 45+