การดูแลสุขภาพช่องปากผู้สูงอายุ เป็นสิ่งจำเป็นและสำคัญ ไม่ต่างจากการดูแลสุขภาพร่างกายในส่วนอื่น เพราะการมีสุขภาพช่องปากที่ดี มีฟันที่แข็งแรง จะช่วยให้ผู้สูงอายุกินอาหารได้อร่อยและกินได้มากขึ้น สามารถบดเคี้ยวอาหารได้ละเอียด ลดการเกิดปัญหาระบบทางเดินอาหาร ช่วยส่งเสริมสุขภาพโดยรวม ช่วยรักษาฟันให้อยู่ได้ยาวนานมากขึ้น และลดการเกิดโรคต่างๆ ภายในช่องปากอีกด้วย

การดูแลสุขภาพช่องปากของผู้สูงอายุ สามารถทำได้ง่ายไม่ต่างจากช่วงวัยอื่น หากไม่ได้ใส่ฟันปลอม หรือเป็นผู้สูงอายุที่ติดเตียง หรือไม่สามารถช่วยเหลือตนเองได้ ซึ่งหากเป็นผู้สูงอายุในลักษณะดังกล่าว จะต้องมีการดูแลสุขภาพช่องปากเป็นพิเศษ และมีผู้ที่คอยมาช่วยเหลือในการดูแลด้วย

7 วิธีดูแลสุขภาพช่องปากผู้สูงอายุ ให้ห่างไกลโรค

1. เลือกอาหารที่ดีต่อฟัน

การดูแลสุขภาพช่องปากของผู้สูงอายุ เริ่มต้นจากการเลือกกินอาหารที่ไม่ทำร้ายฟัน ไม่ว่าจะเป็นการไม่กินอาหารที่มีลักษณะแข็ง เหนียว ที่ต้องใช้แรงบดเคี้ยวมาก เพราะนอกจากจะไม่ดีต่อฟันแล้ว ยังไม่ดีต่อระบบการย่อยอาหารอีกด้วย ผู้สูงอายุ ควรเลือกรับประทานผักและผลไม้ที่มีกากใยสูงเป็นอาหารว่าง ทดแทนอาหารจำพวกแป้งและอาหารที่มีน้ำตาล ซึ่งอาหารเหล่านี้มักเป็นสาเหตุของฟันผุได้

2. ดื่มน้ำให้บ่อย

การจิบน้ำบ่อยๆ ระหว่างวัน ในปริมาณที่เหมาะสม ช่วยลดปัญหาฟันผุหรือปัญหากลิ่นปากได้ระดับหนึ่ง

3. งดการสูบบุหรี่

การสูบบุหรี่ นอกจากจะทำให้เกิดกลิ่นปากที่ไม่พึงประสงค์แล้ว ยังเสี่ยงต่อการทำให้ฟันพุ เพราะควันบุหรี่ช่วยเพิ่มการสะสมของคราบแบคทีเรียและหินปูนให้มากขึ้น รวมถึงยังทำให้ฟันคล้ำมีสีเหลือง น้ำตาล หรือสีดำตามมาได้ การสูบบุหรี่ยังเพิ่มความเสี่ยงต่อการเกิดปัญหาโรคภัยในช่องปากได้อีกด้วย การดูแลสุขภาพช่องปากในผู้สูงอายุ จึงควรงดการสูบบุหรี่ หรือเลิกการสูบไปเลยก็จะดีต่อร่างกายโดยรวมด้วย

...

4. แปรงฟันอย่างน้อยวันละ 2 ครั้ง

ผู้สูงอายุควรหมั่นทำความสะอาดช่องปาก ด้วยการแปรงฟันอย่างน้อยวันละสองครั้ง และเลือกยาสีฟันที่มีส่วนผสมของฟลูออไรด์เป็นองค์ประกอบ ที่สำคัญควรใช้ไหมขัดฟันในบริเวณซอกฟัน หรือบริเวณที่ต้องดูแลเป็นพิเศษ เพราะการแปรงฟันอย่างเดียวอาจจะทำความสะอาดได้ไม่ทั่วถึง นอกจากนี้ ผู้สูงอายุควรบ้วนปากทุกครั้งหลังกินอาหาร เพื่อลดโอกาสการเกิดฟันพุ และเป็นการกำจัดเศษอาหารต่างๆ ที่อาจจะหลงเหลืออยู่ที่ผิวฟัน

การแปรงฟันอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ ควรใช้ไหมขัดฟันเพื่อกำจัดเศษอาหารที่เหลือติดค้างอยู่ตามซอกฟันด้วย
การแปรงฟันอย่างเดียวอาจไม่เพียงพอ ควรใช้ไหมขัดฟันเพื่อกำจัดเศษอาหารที่เหลือติดค้างอยู่ตามซอกฟันด้วย

5. เปลี่ยนแปรงใหม่ทุก 3 เดือน

นอกเหนือจากการดูแลสุขภาพช่องปากและฟันแล้ว อุปกรณ์สำคัญอย่างแปรงสีฟัน ผู้สูงอายุก็ควรหมั่นเปลี่ยนใหม่ทุกๆ 3 เดือน หรืออาจจะสังเกตขนแปรงว่ามีการเสื่อมสภาพหรือไม่ หากพบว่าขนแปรงบานออก ควรเปลี่ยนใหม่เพื่อให้การแปรงฟันมีประสิทธิภาพ สามารถทำความสะอาดฟันได้อย่างทั่วถึง

6. อย่าละเลยแปรงลิ้น

นอกจากการแปรงฟันแล้ว ลิ้น ถือเป็นอวัยวะภายในช่องปากที่ผู้สูงอายุไม่ควรละเลย เพราะลิ้นก็เป็นแหล่งสะสมเชื้อแบคทีเรียและคราบอาหารได้เหมือนกับฟัน ดังนั้น ขั้นตอนสุดท้ายของการดูแลสุขภาพช่องปาก เราจึงควรแปรงลิ้นด้วย โดยการแลบลิ้นออกมา และแปรงเบาๆ ให้ทั่วลิ้น ประมาณ 4-5 ครั้ง จากด้านในออกมาด้านนอก แล้วจึงบ้วนปากล้างทำความสะอาด จะช่วยทำให้การดูแลสุขภาพช่องปากมีประสิทธิภาพมากขึ้น

7. ตรวจสุขภาพช่องปากทุก 6 เดือน

สิ่งสำคัญสำหรับการดูแลสุขภาพช่องปากของผู้สูงอายุอีกอย่างหนึ่ง คือ การไปพบทันตแพทย์ เพื่อได้รับการตรวจสุขภาพช่องปากโดยละเอียด เป็นประจำทุกๆ 6 เดือน ไม่ว่าผู้สูงอายุจะมีปัญหาช่องปากหรือไม่ก็ตาม

ผู้สูงอายุใส่ฟันปลอม ดูแลสุขภาพช่องปากอย่างไร

สำหรับผู้สูงอายุที่ฟันแท้หลุดร่วงไป และจำเป็นต้องใส่ฟันปลอม เพื่อช่วยในการบดเคี้ยวอาหาร การดูแลสุขภาพช่องปากยังเป็นสิ่งจำเป็น ควบคู่ไปกับการดูแลฟันปลอมให้สะอาดเช่นกัน โดยหลังจากถอดฟันปลอมแล้ว ควรแปรงบริเวณเพดาน เหงือก และลิ้น เพื่อทำความสะอาดภายในช่องปาก ตามด้วยการบ้วนปาก ส่วนการดูแลฟันปลอมของผู้สูงอายุก็ต้องทำควบคู่ไปด้วย ดังนี้

หากผู้สูงอายุใส่ฟันปลอม อย่าลืมแปรงฟันปลอมทุกครั้งหลังกินอาหารด้วย
หากผู้สูงอายุใส่ฟันปลอม อย่าลืมแปรงฟันปลอมทุกครั้งหลังกินอาหารด้วย

...

  • หมั่นทำความสะอาดฟันปลอมทุกครั้งหลังรับประทานอาหาร ด้วยการแปรงด้วยยาสีฟัน กรณีที่ฟันปลอมสีคล้ำอาจจะใช้ยาเม็ดฟู่สำหรับฟันปลอม ทำความสะอาดได้ แต่ไม่ควรใช้ยาสีฟันชนิดผงในการทำความสะอาดฟันปลอม เพราะอาจจะส่งผลเสียต่อฟันปลอมได้
  • หากจะเข้านอนตอนกลางคืน ควรถอดฟันปลอมออกแช่น้ำไว้ เป็นการกระตุ้นการไหลเวียนของโลหิตภายในช่องปาก ในระหว่างวันควรถอดฟันปลอมออกบ้างในบางเวลาหากทำได้
  • หากพบว่าฟันปลอมชำรุด ควรปรึกษาทันตแพทย์ในการแก้ไข ไม่แนะนำให้ทำการซ่อมแซมฟันปลอมด้วยตนเอง เพราะอาจจะเกิดอันตรายต่อช่องปากของผู้สูงอายุได้

ทั้งหมดนี้ ก็เป็นวิธีการดูแลสุขภาพช่องปากผู้สูงอายุ ที่นับว่าเป็นสิ่งจำเป็นและปฏิบัติตามได้ง่าย รวมถึงการดูแลฟันปลอม ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นสิ่งจำเป็นสำหรับผู้สูงอายุ เพื่อให้สามารถกินอาหารได้อย่างอร่อย และไม่ก่อให้เกิดปัญหาโรคภายในช่องปากตามมาภายหลัง

ข้อมูลอ้างอิง : คณะทันตแพทยศาสตร์ มหาวิทยาลัยมหิดล, กรมอนามัย