“อย่างที่ทราบกัน สังคมไทยกำลังก้าวสู่ ‘สังคมสูงวัยสมบูรณ์แบบ’ สัดส่วนประชากรของประเทศจะมีผู้สูงวัยเพิ่มขึ้นเป็นจำนวนมากทุกปี สารคดีชุด ‘เรื่องเล่ามีชีวิต’ ของผม เป็นการทำงานที่พยายามจะตอบคำถามว่า ทำอย่างไรที่ผู้สูงวัยจะไม่เป็นภาระต่อสังคมและต่อครอบครัว ซึ่งเป็นคำถามที่ผมก็ถามตัวเองด้วย คนสูงวัยสามารถประกอบอาชีพอะไรได้บ้าง และเขาใช้ชีวิตกันอย่างไร และนี่คือที่มาของสารคดีชุดนี้”
เชิดพงษ์ เหล่ายนตร์ ผู้กำกับภาพยนตร์ที่กำลังก้าวสู่การเป็นผู้สูงวัยในอีกไม่กี่ปีข้างหน้า เกริ่นนำถึงผลงานกำกับภาพยนตร์สารคดี ที่มีเนื้อหาเกี่ยวกับชีวิตของผู้สูงวัย ผ่านสารคดีชุด ‘เรื่องเล่ามีชีวิต’
หากย้อนไปดูเส้นทางชีวิตในอาชีพผู้กำกับภาพยนตร์ของเชิดพงษ์นั้น หลังเรียนจบด้านภาพยนตร์จากรั้วมหาวิทยาลัย เชิดพงษ์บอกว่าเขาทำหนังมาตลอดชีวิต มีอาชีพหลักเป็นผู้ช่วยผู้กำกับภาพยนตร์และภาพยนตร์โฆษณาทั้งในประเทศและต่างประเทศ ผลงานโดดเด่นในฐานะผู้ช่วยผู้กำกับภาพยนตร์ของเขา เช่น เรื่องตลก 69, มนต์รักทรานซิสเตอร์ และ เรื่องรัก น้อยนิด มหาศาล ของผู้กำกับภาพยนตร์ชื่อดัง เป็นเอก รัตนเรือง
...
นอกจากนี้ เขายังผลิตละครโทรทัศน์และสารคดีออกมาเป็นระยะๆ โดยมีผลงานโดดเด่นล่าสุด เช่น เรื่อง ต้นไม้น้อยใหญ่ ละครเฉลิมพระเกียรติวันแม่แห่งชาติ ที่ออกอากาศทางไทยพีบีเอส เมื่อเดือนสิงหาคมที่ผ่านมา
แม้จะวนเวียนมีประสบการณ์อยู่กับการทำภาพยนตร์และภาพยนตร์โฆษณาที่เขาบอกว่า “เกี่ยวข้องกับการประดิดประดอยความงามทั้งหลาย” แต่ความชอบของเขาคืองานสารคดี ที่ชอบมาตั้งแต่เมื่อครั้งเป็นนักศึกษา
“ผมชอบแนวสัจนิยม ชอบความงามบนความจริง ส่วนที่มาสนใจทำสารคดีผู้สูงวัย ก็เพราะตัวเองเริ่มเข้าสู่กลุ่มผู้สูงวัย ผมเคยทำรายการโทรทัศน์ “ลุยไม่รู้โรย” ทางไทยพีบีเอส ได้คลุกคลีกับคนเฒ่าคนแก่ และได้ค้นพบว่าผู้สูงวัยคือผู้ให้ หลายคนเป็นจิตอาสา พวกเขาไม่ได้ต้องการอะไรมาก ขอเพียงวันนี้มีความสุข และความสุขที่ดีที่สุดสำหรับเขาคือการให้ ซึ่งเราได้เรียนรู้จากผู้สูงวัยมากมาย”
ส่วนผลงานภาพยนต์สารคดีล่าสุดนี้คือ ‘เรื่องเล่ามีชีวิต’ ผลิตออกมาแล้วสองชุด ชุดละ 6 เรื่อง ชุดแรกในปี 2563 และ ชุดที่สองในปี 2566 โดยทั้งสองชุดได้รับทุนจากกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ ซึ่งต้องการพาคนดูเข้าไปสัมผัสเรียนรู้ความจริงในชีวิตของผู้สูงวัย จึงเลือกวิธีการเล่าที่เน้นนำเสนอเรื่องราวด้วยภาพและเสียงที่เป็นจริง ไม่เติมแต่ง
“วิธีนำเสนอนี้ เป็นทำนองเดียวกับภาพยนตร์แนว cinéma vérité ที่เน้นความเป็นจริงของเรื่องราว ฉาก โดยปราศจากการเติมแต่ง ผมไม่ใช้ขาตั้งกล้อง ไม่จัดแสง ไม่จัดฉากอะไรทั้งสิ้น ไม่มีการชี้แนะ ไม่ใส่เสียงบรรยาย เราพยายามพูดถึงเรื่องความธรรมดาของคน เสนออะไรที่ประดิษฐ์น้อยที่สุด เพื่อให้สัมผัสในสัจนิยมมากที่สุด”
เชิดพงษ์ตระเวนไปพูดคุยกับผู้สูงวัยทั่วทุกภาคของประเทศ พบปะกับบุคคลที่เป็นแบบอย่างที่น่าสนใจ และมีความสุขในการใช้ชีวิต ไม่ว่าจะเป็นปราชญ์ชาวปกาเกอะญอบนดอยสูงภาคเหนือ, คนเลี้ยงควาย คนทำไร่ทำนา คนทอผ้าแพรวา คนทำหุ่นผีตาโขน ในภาคอีสาน, คนปีนต้นตาล และชาวประมงพื้นบ้าน ในภาคใต้, หมอยาสมุนไพร คนทำว่าวจุฬายักษ์ ในภาคกลาง รวมถึงอดีตคนทำธุรกิจที่ล้มละลายเพราะถูกโกง และผันตัวเองมาเป็นพนักงานร้านหนังสือในกรุงเทพฯ เป็นต้น
“ผมรู้สึกโชคดีที่พบผู้สูงวัยที่เป็นเสมือนครูมากมาย และได้พูดคุยกับบุคคลที่น่าสนใจ ทุกท่านมีแง่มุมที่ทำให้เราได้คิด อย่างลุงธนา ในเรื่อง ให้อาชีพนำทาง เขาถูกโกง บ้านโดนยึด และคิดอยากฆ่าตัวตายวันละหลายหน แต่จากความรักที่มีต่อครอบครัวทำให้เขาได้คิดและลุกขึ้นมาสู้ พยายามหาทางออกของชีวิตโดยการหาอาชีพ เริ่มสมัครงาน และในที่สุดได้เป็นพนักงานร้านหนังสือที่มีนโยบายรับผู้สูงวัยเข้าทำงาน พอได้ใช้ชีวิตต่อมา ก็พบว่าสิ่งที่สำคัญสำหรับเขาคือความรู้สึกที่ชีวิตในแต่ละวันมีคุณค่า และคุณลุงบอกว่านั่นมีค่ากว่าทรัพย์สินเงินทองเสียอีก”
เมื่อถามถึงประเด็นร่วมของคนสูงวัยที่เชิดพงษ์ได้พบเจอคืออะไร เขาบอกว่า “การใช้ชีวิตให้คุ้มค่าและมีค่าที่สุด ใช้เวลาในแต่ละวันให้มีประโยชน์ และที่สำคัญคือจิตวิญญาณของผู้ให้ ผู้สูงวัยในสารคดีแต่ละเรื่องมีวิถีชีวิตที่แตกต่างกันไป แต่สิ่งเดียวที่พวกเขามีเหมือนกันก็คือ เขาไม่ทำอะไรเพื่อตัวเองเลย”
...
“ไม่ว่าจะเป็นป้าน้อย จากเรื่อง ยิ่งให้ยิ่งได้ ที่เปิดคอร์สสอนเรื่องที่ตัวเองถนัดให้กับคนที่สนใจโดยไม่คิดค่าใช้จ่าย และเปิดห้องน้ำที่บ้านให้คนทั่วไปเข้าฟรีในช่วงเทศกาล เพราะแกบอกว่าได้เห็นรอยยิ้มของคนอื่นแล้วมีความสุข หรืออาจารย์สองท่านที่จังหวัดแม่ฮ่องสอน เรื่อง คู่หูคู่แม่สะเรียง ที่แม้เกษียณราชการแล้วก็ยังทำกิจกรรมกับเด็กและเยาวชน พยายามเปิดโอกาสทางการศึกษาให้กับเด็ก และทำงานด้านวัฒนธรรมเพื่อสืบทอดประเพณีท้องถิ่นและสร้างความเข้มแข็งให้กับชุมชน หรือยายมะลิ เรื่อง ยิ้มของยายมะลิ ที่ทำไร่ทำนาเพียงลำพังเพื่อเลี้ยงดูสามีที่เป็นโรคสมองเสื่อม และลูกชายที่ประสบอุบัติเหตุจนสมองพิการ ซึ่งแกยังต้องจ่ายหนี้ กยศ. (กองทุนเงินให้กู้ยืมเพื่อการศึกษา) ให้ลูกชายทุกเดือน แต่แกไม่เคยท้อ ไม่เคยคิดถึงความตาย เพราะยายมะลิยังมีครอบครัวที่แกรักและต้องเลี้ยงดู”
...
เชิดพงษ์ เล่าว่า การได้พบปะพูดคุยกับผู้สูงวัย ได้เห็นวิถีปฏิบัติและรับฟังแนวคิดการใช้ชีวิตจากผู้เฒ่าผู้แก่จากหลากหลายพื้นที่ เป็นเรื่องราวที่สามารถสนทนาบอกเล่ากันได้อย่างไม่จบสิ้น
“ผมตั้งชื่อสารคดีชุดนี้ว่า ‘เรื่องเล่ามีชีวิต’ เพราะว่าเรื่องเล่าเหล่านี้จะไม่มีวันตาย สารคดีของผมไม่ใช่การอวยคน เราพยายามทำให้เห็นว่าคนเหล่านี้ก็อาจจะพบเจอปัญหาอุปสรรคต่างๆ เหมือนกับเรา แล้วเขาผ่านช่วงชีวิตเหล่านั้นมาได้ยังไง เขาใช้ชีวิตอย่างไร เราได้เห็นว่าสิ่งที่ยังทำให้คนแก่เหล่านี้ยังมีพลังทำสิ่งต่างๆ คือ ความรัก ไม่ว่าจะเป็นความรักในครอบครัว ความรักในท้องถิ่น ความรักในเพื่อนมนุษย์ การเป็นผู้ให้ และการได้ใช้ชีวิตเพื่อทำสิ่งต่างๆ ที่เขารัก ซึ่งมันอาจจะช่วยตอบโจทย์ที่ว่า เราจะอยู่อย่างไรโดยไม่เป็นภาระต่อผู้อื่นและสังคม และอย่างน้อยผมก็หวังว่า สารคดีชุดนี้จะทำให้เราเห็นว่า คำว่า ‘เกษียณ’ ไม่มีจริง และเรายังสามารถทำอะไรได้อีกมากมาย”
ภาพ : เพจเรื่องเล่ามีชีวิต