ช่องว่างระหว่างวัย เป็นปัญหาสำคัญในปัจจุบันที่กำลังก้าวสู่สังคมผู้สูงอายุ ทำให้ความเข้าใจของคนแต่ละรุ่นแตกต่างกัน โดยเฉพาะคนรุ่นใหญ่กับคนรุ่นเล็ก แล้วจะทำอย่างไรให้แก้ปัญหาเหล่านี้ได้

ช่องว่างระหว่างวัย คืออะไร

ช่องว่างระหว่างวัย (Generation Gap) คือความแตกต่างของความคิดเห็น ความเชื่อ ค่านิยม หรือทัศนคติระหว่างคนรุ่นหนึ่งกับอีกรุ่นหนึ่ง ที่เกิดขึ้นมายาวนาน และเริ่มเด่นชัดมากขึ้นในปัจจุบันที่ประเทศไทยเข้าสู่สังคมผู้สูงวัยอย่างเต็มตัว แถมยังมีเรื่องแนวคิดทางการเมืองในช่วงเลือกตั้ง 2566 มาเป็นแรงผลักให้คนรุ่นใหญ่กับรุ่นเล็กที่มีแนวคิดและทัศนคติต่างกันอย่างสิ้นเชิง แต่ต้องใช้ชีวิตร่วมกันในสังคม ไม่ว่าจะเป็นในครอบครัวหรือในองค์กร เกิดการกระทบกระทั่งกันอย่างเลี่ยงได้ยาก สิ่งที่จะแก้ปัญหาเหล่านี้ได้คือต้องทำความเข้าใจของคนแต่ละช่วงวัยเสียก่อน

Baby Boomer หรือ Gen B หรือ บูมเมอร์

คือ คนที่เกิดช่วงปี 2489 – 2507 (อายุ 76-58 ปี) หลังจากสงครามโลกครั้งที่ 2 สิ้นสุด มีการฟื้นฟูสังคมและเศรษฐกิจ ต้องการแรงงานทดแทนผู้เสียชีวิต จึงเกิดค่านิยมการมีลูกหลายคน ลักษณะร่วมของคนเจนนี้คือ จริงจัง ทุ่มเทชีวิตให้งาน อดทน อดออม ชอบงานมั่นคง ภักดีต่อองค์กร และให้ความสำคัญกับการทำหน้าที่พลเมือง

Generation X หรือ Gen X หรือ Yuppie

คือ คนที่เกิดช่วงปี 2508-2522 (อายุ 57-43 ปี) เรียกอีกอย่างหนึ่งว่า มีชีวิตในช่วงเวลาโลกสงบสุข มั่งคั่ง สุขสบาย เป็นยุคสมัยเปลี่ยนผ่านสู่ดิจิทัล มีการคุมกำเนิดเพื่อให้จำนวนประชากรเหมาะกับทรัพยากร บุคลิกง่ายๆ สบายๆ ไม่เป็นทางการ ให้ความสำคัญกับการสร้างสมดุลชีวิต เป็นตัวของตัวเอง เปิดกว้าง สร้างสรรค์ และยืดหยุ่น

...

Generation Y หรือ Gen Y หรือ Millennials

คือ คนที่เกิดช่วงปี 2523-2540 (อายุ 42-25 ปี) เติบโตในยุคดิจิทัล มีความเป็นสากล เปิดรับวัฒนธรรม รักความสะดวกสบาย มีโอกาสทางการศึกษาที่ดี มีแนวคิดเป็นตัวของตัวเอง ทำในสิ่งที่ตัวเองชอบ และปฏิเสธสิ่งที่ตัวเองไม่ชอบ ชัดเจน คาดหวังผลตอบแทนสูง เปลี่ยนงาน ต้องการสร้างสมดุลเวลาให้กับตัวเอง และทำกิจกรรมให้ความสุขกับตัวเอง

Generation Z หรือ Gen Z

คือคนที่เกิดหลังปี 2540 (อายุ 24 ปีลงมา) เกิดมาพร้อมกับสิ่งอำนวยความสะดวก ดำเนินชีวิตในสังคมแบบดิจิทัล มีการติดต่อสื่อสารไร้สาย และสื่อบันเทิงต่างๆ ได้รับการเลี้ยงดูจากคนอื่นมากกว่าพ่อและแม่ของตัวเอง ทันโลก ตัดสินใจทำอะไรอย่างรวดเร็ว ไม่ชอบรอคอย เปิดกว้างทางความคิดและวัฒนธรรมที่แตกต่าง ปรับทัศนคติได้ดี ไม่แบ่งแยก เป็นมนุษย์หลายงาน อดทนต่ำ ต้องการคำอธิบายมากขึ้น ต้องมีเหตุผล และต้องรู้สึกว่าได้เข้าใจกับทุกเรื่องในชีวิต

นอกจากนี้ยังมี เจเนอเรชันอื่นๆ เช่น Silent Generation คือ คนที่เกิดปี 2468 – 2485 หรืออายุ 80 ปีขึ้นไป ซึ่งเกิดในช่วงสงครามโลกที่เศรษฐกิจตกต่ำ, Generation Alpha หรือ Gen Alpha คือ เด็กๆ ที่เกิดตั้งแต่ปี 2553 หรือ อายุ 12 ปีลงมา ซึ่งเกิดและเติบโตมาพร้อมกับเทคโนโลยีและความหลากหลายทางวัฒนธรรม ได้รับความรักท่วมท้นจากพ่อแม่ ขาดความยืดหยุ่น และห่างไกลธรรมชาติ

ด้วยช่วงเวลาที่เติบโตมาต่างยุคสมัย จึงหล่อหลอมให้คนแต่ละรุ่นมีแนวคิดที่ต่างกัน แต่สิ่งที่จะทำให้คนทุกรุ่นทุกวัยสามารถใช้ชีวิตร่วมกันได้อย่างมีความสุขก็คือ “การสื่อสาร” ที่เปิดใจยอมรับและเคารพความเห็นของคนที่แตกต่างกัน ด้วยการใช้หลัก 4E คือ

Empathy (เข้าอกเข้าใจ)

การมีประสบการณ์ที่ต่างกันส่งผลต่อมุมมองที่มีต่อโลกแตกต่างกันไปด้วย แม้แต่คนที่อยู่ในรุ่นเดียวกันก็ยังมีความคิดและทัศนคติที่แตกต่างกันได้ การเหมารวมว่าคนรุ่นเดียวกันจะมีความคิดที่เหมือนกันจะทำให้เกิดความขัดแย้งมากขึ้น ดังนั้นจึงควรพยายามเอาใจเขามาใส่ใจเรา ทำความเข้าใจในมุมของอีกฝ่ายที่ต้องเจอกับปัญหาหรือประสบการณ์ที่ต่างกัน ไม่เอาตัวเองเป็นศูนย์กลางว่าทุกคนต้องคิด หรือรู้สึกแบบเดียวกันกับเรา ซึ่งจะนำพาไปสู่ความขัดแย้งและลุกลามใหญ่โตจนเกินแก้ไขได้

Equality (เท่าเทียมกัน)

ถึงจะมีวัยแตกต่างกัน แต่ควรมีความเท่าเทียมกันในเรื่องความคิดเห็น การถือว่าตนเองเหนือกว่าจะนำไปสู่การสื่อสารที่ล้มเหลว นอกจากนี้ ความเท่าเทียมของคนแต่ละรุ่นก็มีความหมายที่ต่างกัน รวมถึงการมองความสัมพันธ์ระหว่างรัฐกับประชาชนที่แตกต่างกันด้วย โดยคนรุ่นก่อนมองว่าตนเองมีความเป็นพลเมือง เป็นหน้าที่ แต่คนรุ่นใหม่จะมองความสัมพันธ์เป็นเสมือนผู้ประกอบการกับลูกค้า

แม้ว่าจะต่างรุ่นกัน ก็เข้าใจกันได้ เพียงแค่เปิดใจรับฟัง ยอมรับความแตกต่าง ด้วยความเคารพและไม่ตัดสิน ก็แก้ปัญหาช่องว่างระหว่างวัยได้
แม้ว่าจะต่างรุ่นกัน ก็เข้าใจกันได้ เพียงแค่เปิดใจรับฟัง ยอมรับความแตกต่าง ด้วยความเคารพและไม่ตัดสิน ก็แก้ปัญหาช่องว่างระหว่างวัยได้

...

Express (เปิดใจกับการแสดงออกและวิธีสื่อสาร)

คนรุ่นเก่าและคนรุ่นใหม่มักจะมีวิธีคิดและรูปแบบการสื่อสารที่แตกต่างกัน โดยคนรุ่นใหม่มักชอบการแสดงออกที่เปิดเผยบนโซเชียล ทำให้คนสนใจเป็นจำนวนมาก ขณะที่คนรุ่นเก่ามักจะเน้นที่เรื่องมารยาทและการรักษาหน้า จึงมองว่าสิ่งที่เด็กแสดงออกเป็นการไม่เคารพ ดังนั้นทั้งคนรุ่นเก่าและคนรุ่นใหม่จึงควรเปิดใจถึงวิธีการแสดงออกที่แตกต่างกัน ด้วยการสื่อสารอย่างตรงไปตรงมา สุภาพ เปิดเผย และโปร่งใส ไม่เอาอารมณ์มาเป็นศูนย์กลางความรู้สึก ทำให้เกิดความขัดแย้ง

Eco System (เข้าใจสิ่งแวดล้อมของระบบ)

คนรุ่นเก่าอาจมองว่าคนรุ่นใหม่มักจะพร่ำบ่นเกี่ยวกับระบบ แทนที่จะพยายามพัฒนาตนเอง ขณะที่คนรุ่นใหม่มองว่าระบบมักจะปิดโอกาสคนที่ไม่มีต้นทุนทางสังคม ต่อให้พยายามเท่าไรก็เติบโตได้ยาก นอกจากนี้ คนรุ่นใหม่ยังไม่ยึดติดที่ตัวบุคคลมากนัก แต่อยากให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในระบบ และสนับสนุนคนที่มีอุดมการณ์คล้ายคลึงกัน

ปัญหาช่องว่างระหว่างวัย สามารถแก้ไขได้ด้วยหลักการสื่อสารนี้ ซึ่งไม่จำเป็นว่าต้องเป็นเด็กหรือผู้ใหญ่ที่เป็นคนเริ่ม แต่คนทุกวัยควรเปิดใจปรับตัวและยืดหยุ่นในการสื่อสาร โดยเริ่มต้นจากการยอมรับความจริงว่าทุกคนไม่จำเป็นต้องมีความคิดเห็นและมีความเชื่อเหมือนกัน แม้ว่าจะเป็นคนวัยเดียวกันก็ตาม

ที่สำคัญคือต้องเคารพความแตกต่าง พร้อมรับฟัง มีท่าทีเป็นมิตร แสดงถึงความเท่าเทียม เปิดใจรับในคำพูดและท่าทีของแต่ละฝ่าย เคารพตัวตนของกันและกัน ไม่พยายามยัดเยียดให้คนอื่นคิดหรือทำเหมือนกัน ใช้เหตุผล ไม่ก้าวร้าว และรับฟังอย่างตั้งใจ สำคัญที่สุดคือ ความตั้งใจที่จะสื่อสารกันอย่างจริงใจ

อ้างอิงข้อมูล: สสส., สถาบันเพื่อการยุติธรรมแห่งประเทศไทย (องค์การมหาชน)

...