ภาวะสโตรก หรือโรคหลอดเลือดสมอง คืออาการทางสมองที่ส่งผลกระทบต่อชีวิตผู้ป่วยได้อย่างรุนแรง เกี้ยแซ่บบ ยูทูบเบอร์สายกินชื่อดัง มาเล่าถึงประสบการณ์ในนาทีวิกฤติเพื่อเป็นอุทาหรณ์

ทั้งนี้ภาวะสโตรก (Stroke) หมายถึง โรคหลอดเลือดสมอง ที่ทำให้สมองขาดเลือด ซึ่งมีสาเหตุมาจากหลอดเลือดสมองตีบ อุดตัน หรือแตก ทำให้ขัดขวางการลำเลียงเลือดซึ่งนำออกซิเจนไปเลี้ยงเซลล์สมอง เมื่อสมองขาดเลือด เซลล์สมองจะถูกทำลาย ส่งผลให้สมองสูญเสียการทำหน้าที่ จนเกิดอาการของอัมพฤกษ์ อัมพาต หรือร้ายแรงถึงขั้นทำให้เสียชีวิต

ย้อนไปเมื่อ 2 ปีก่อน ณธกฤต กาญจนมัณฑนา (เกี้ย) หรือ เกี้ยแซ่บบ ยูทูบเบอร์สายกินชื่อดังที่มีผู้ติดตามกว่า 5 แสนคน ได้ประสบเหตุป่วยหนักจากภาวะสโตรก หรือโรคหลอดเลือดสมอง ที่แตกอย่างเฉียบพลันโดยไม่มีสัญญาณเตือนล่วงหน้า และได้ผ่านพ้นช่วงวิกฤติจนมาถึงวันนี้ได้ อาการที่เกิดขึ้นเป็นอย่างไร ความเสี่ยงที่ทำให้เป็นโรคนี้คืออะไร และเขาผ่านมาได้อย่างไร เกี้ยแซ่บบ จะมาเล่าประสบการณ์ให้ฟัง

“วันนั้นเป็นวันที่ 28 พฤศจิกายน 2563 คืนนั้นจำได้ว่ากำลังเตรียมข้อมูลเพื่อไปถ่ายรายการในวันรุ่งขึ้น ตอนนั้นปวดปัสสาวะมากก็เลยไปเข้าห้องน้ำ แล้วอยู่ดีๆ ข้างหูด้านขวามันเสียวแปลบขึ้นมา รู้สึกเลยว่าผิดปกติ สิ่งที่เกิดขึ้นตามมาภายในวินาทีนั้นเลยก็คือ ฟ้ามันสว่างวาบขึ้นมาก่อนเลย แล้วก็กลายเป็นแบบเห็นภาพปกติ เหมือนหน้ามืด แล้วร่างกายครึ่งซีกซ้ายอยู่ดีๆ ชา ปากก็ชารู้สึกยิบๆ ที่มุมปาก หน้ายิบๆ ตรงหน้าผาก ตรงแก้ม แล้วก็คือขาซ้ายชา ยืนเหยียบพื้นไม่ค่อยติด เพราะรู้สึกชาไปหมด เหมือนเวลาเรานั่งทับขานานๆ แล้วรู้สึกขาข้างขวายังพอมีแรง ก็คือค่อยๆ พยุงตัวเองไปนอนในห้องนอน แล้วก็โทรเรียกน้องสาวให้เอาเครื่องวัดความดันของคุณแม่มาวัดให้หน่อยเพราะรู้สึกผิดปกติ”

...

เกี้ยแซ่บบ ใช้เวลารักษาตัวในโรงพยาบาลจากภาวะเส้นเลือดในสมองแตกนานเกือบ 10 วัน
เกี้ยแซ่บบ ใช้เวลารักษาตัวในโรงพยาบาลจากภาวะเส้นเลือดในสมองแตกนานเกือบ 10 วัน

เกี้ยแซ่บบ เผยว่าตอนแรกที่มีอาการนี้คิดว่าเป็นเพราะตนเองพักผ่อนน้อย จนได้วัดความดันจึงเห็นว่าความดันสูงถึง 180/90 เป็นเวลากว่าครึ่งชั่วโมงไม่ลดลง จึงได้นำตัวส่งโรงพยาบาลวิภาวดี ซึ่งมีคุณหมอที่รักษาประจำอยู่ 

เมื่อมาถึงโรงพยาบาลก็ได้เข้าห้องฉุกเฉิน และได้ทำการตรวจจึงได้รู้ว่าตนเองเป็นเส้นเลือดสมองแตก แต่โชคดีที่ไม่ใช่เส้นหลักที่อยู่ตรงก้านสมอง นอกจากนี้ยังพบก้อนเลือดขนาดเท่าเหรียญ 10 และมีเส้นเลือดตีบอีกหลายเส้นในสมอง ซึ่งใช้เวลารักษาตัวที่โรงพยาบาลเป็นเวลานานเกือบ 10 วัน

แม้ว่าออกจากโรงพยาบาลแล้วร่างกายของเกี้ยแซ่บก็ไม่ปกติเหมือนเดิมจึงทำให้เขารู้สึกแย่กับตนเองและเป็นห่วงแม่กับน้องสาว
แม้ว่าออกจากโรงพยาบาลแล้วร่างกายของเกี้ยแซ่บก็ไม่ปกติเหมือนเดิมจึงทำให้เขารู้สึกแย่กับตนเองและเป็นห่วงแม่กับน้องสาว

“หลังออกจากโรงพยาบาลกลับมารักษาตัวต่อที่บ้านก็ยังมีอาการเดินไม่คล่องเพราะแขนขาข้างซ้ายไม่มีแรงและมีอาการชาตลอดเวลา ตอนนั้นเรียกได้ว่าร้องไห้ทุกวันแต่ไม่ได้บอกใคร เวลาเจอใครก็จะยิ้ม มองแขนตัวเองทุกวัน หยิกแขนขาตัวเองทุกวันว่า หายไหม รู้สึกไหม แล้วเราก็รู้สึกว่าเราไม่หายแน่เลย ทำยังไงดี เพราะเราเป็นเสาหลักของบ้าน ถ้าเป็นอะไรขึ้นมาทุกคนในบ้านจะอยู่ยังไง กังวลเรื่องแม่กับน้องสาวมากว่าเขาจะลำบากถ้าไม่มีเรา”

เปลี่ยนตนเองเพื่อก้าวผ่านวิกฤติของชีวิต

หลังจากที่รู้สึกแย่กับตัวเองและเป็นห่วงว่าทุกคนในบ้านจะลำบากที่ต้องมาดูแลตนเองก็ทำให้เขาคิดได้ว่าควรหันมาดูแลสุขภาพและเปลี่ยนแปลงตนเองอย่างจริงจัง เพราะที่ผ่านมาเขาเป็นเบาหวานตั้งแต่เด็กและมีความเสี่ยงภาวะน้ำหนักเกินตั้งแต่ตอนอายุ 28 ปี อีกทั้งยังมีพฤติกรรมการกินที่ตามใจปาก จึงทำให้มีโรคประจำตัวเรื้อรังอย่างเบาหวาน ไขมัน และความดันเกิดขึ้นมาตั้งแต่ก่อนที่จะป่วยเป็นเส้นเลือดสมองแตกตอนอายุ 46 ปี

ก่อนที่เขาจะป่วยเป็นเส้นเลือดสมองแตก เกี้ยแซ่บบเคยมีน้ำหนักมากกว่า 100 กิโลกรัม ซึ่งปัจจุบันเขาลดลงไปได้กว่า 20 กิโลกรัมและทำให้สุขภาพแข็งแรงขึ้น
ก่อนที่เขาจะป่วยเป็นเส้นเลือดสมองแตก เกี้ยแซ่บบเคยมีน้ำหนักมากกว่า 100 กิโลกรัม ซึ่งปัจจุบันเขาลดลงไปได้กว่า 20 กิโลกรัมและทำให้สุขภาพแข็งแรงขึ้น

...

เขายอมรับว่าที่ผ่านมาไม่ชอบออกกำลังกาย อีกทั้งยังไม่ใส่ใจเรื่องการรักษาโรคประจำตัวเท่าที่ควร คิดว่ากินยารักษาเดี๋ยวก็หายจึงไม่ใส่สุขภาพ ทำให้เป็นบุคคลที่มีความเสี่ยงสูง ประกอบกับการทำงานหนักและพักผ่อนน้อยจึงส่งผลให้เกิดอาการเส้นเลือดสมองแตกขึ้นมา

“พอเราไม่สบายแล้วเราจะไม่เดิน แม่ก็จะดูแลเราทุกอย่าง ตั้งแต่หาอาหารให้กิน พาเราเข้าห้องน้ำ ซึ่งเขาหัวเข่าไม่ดี ก็ใช้ไม้เท้าเดิน ส่วนเราก็ใช้วอล์กเกอร์ไป พอกลางคืนเราก็จะเห็น แม่เข้าห้องน้ำบ่อย จะลุกก็ต้องค่อยๆ ยันตัวขึ้นมา แล้วก็ค่อยๆ ไป เรียกว่าเป็นผู้สูงอายุแล้ว เราก็เลยรู้สึกว่าเราอกตัญญู ที่ทำให้แม่ลำบากขนาดนี้ เราก็รู้สึกว่าไม่ได้ เราต้องกลับมาแข็งแรงได้สิ ก็ถามหมอว่าทำยังไง หมอก็บอกก่อนว่าด้วยโรคที่เป็นอยู่ทั้งเบาหวาน ความดัน ไขมัน ถ้ามันลดมันจะช่วยได้ แล้วก็เราต้องช่วยเหลือตัวเองด้วย เราต้องพยายามออกกำลังกายด้วย เพื่อให้กลับมาแข็งแรงไวๆ”

ด้วยเหตุนี้เขาจึงปรับความคิดและพฤติกรรมตนเองใหม่ ด้วยการออกกำลังกายมากขึ้น ใช้เวลาออกกำลังมากกว่าที่หมอกำหนด เช่น หมอบอกให้ออกกำลังแค่ 15 นาที ก็ใช้เวลา 30 นาที เพราะรู้สึกว่าถ้ามีโอกาสหายก็ต้องทำให้ได้หากยังมีแรงทำไหว รวมทั้งปรับพฤติกรรมการกินของตนเองจากที่เคยตามใจปากไม่สนใจคำเตือนของหมอว่าให้ลดแป้งลดไขมัน ก็กินลดลงและเน้นกินผักกับเนื้อสัตว์มากขึ้น แล้วก็เน้นกินคลีน กินน้อยลงเหลือวันละ 2 มื้อ ไม่กินหลังหกโมงเย็น

การออกกำลังกายและปรับพฤติกรรมการกินใหม่คือจุดเปลี่ยนที่ทำให้เกี้ยแซ่บบก้าวข้ามผ่านช่วงวิกฤติของชีวิตมาได้
การออกกำลังกายและปรับพฤติกรรมการกินใหม่คือจุดเปลี่ยนที่ทำให้เกี้ยแซ่บบก้าวข้ามผ่านช่วงวิกฤติของชีวิตมาได้

...

“ถามว่ามีวินัยไหมถ้าไม่มีวิกฤติ หากไม่กลัวตาย เราก็คงไม่ทำ แล้วก็ทำต่อเนื่อง แต่ออกกำลังกายไม่หนักเพราะหมอกลัวเรื่องความดัน ตอนนั้นวัดความดัน เจาะปลายนิ้วทุกเช้า ดูว่าน้ำตาลขึ้นไม่ขึ้น พอผ่านไปประมาณสี่เดือนครึ่ง เกือบๆ ห้าเดือน มันเป็นโรคจิตออกกำลังกายแล้วเราก็ชั่งน้ำหนักเพราะอยากให้สุขภาพดี แต่ตอนนั้นไม่ใช่ลดน้ำหนัก แต่อยากให้น้ำตาลลด อยากให้ไขมันลด กลับกลายเป็นว่าพอเราทำตามที่หมอบอก ปรากฏว่ามันทำได้ จากน้ำหนัก 106 กิโลกรัม มันลดลงมาที่ผอมสุดประมาณ 79 กิโลกรัม ลดลงประมาณ 26 กิโลกรัม ในช่วงสี่เดือนครึ่งคือเร็วมากๆ”

การเปลี่ยนแปลงตัวเองในครั้งนี้นอกจากทำให้น้ำหนักลดลงแล้วยังส่งผลให้ค่าเบาหวานของเขาลดลง จนหมอลดปริมาณยาเบาหวานลงจากที่เดิมกินวันละ 4 เม็ด เหลือแค่กินวันละครึ่งเม็ด พร้อมทั้งเลิกฉีดอินซูลิน ยาไขมันก็ลดลงจากที่เคยกิน 40 มิลลิกรัม เหลือแค่ 10 มิลลิกรัม และทำให้ปริมาณไขมันเลว (LDL) ในร่างกายลดลงตามไปด้วย

เขาพยายามทำแบบนี้ต่อเนื่องมาเป็นเวลา 2 ปีแล้ว และพบว่ายิ่งออกกำลังกายค่าความดันของตนเองก็ยิ่งลดลง ดังนั้นการปรับพฤติกรรมการกิน การคุมอาหาร และการออกกำลังกาย จึงช่วยให้สุขภาพของเขาดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด

การปรับตัวของยูทูบเบอร์สายกิน

สำหรับการปรับตัวเพื่อเปลี่ยนชีวิตตนเองในครั้งนี้ไม่ได้กระทบกับการเป็นยูทูบเบอร์สายกินของเกี้ยแซ่บบแต่อย่างใด เพราะแม้ว่าจะต้องจำกัดอาหารและปรับพฤติกรรมการกินของตนเองใหม่ทั้งหมด แต่ในการใช้ชีวิตเพื่อตามหาและกินของอร่อยนั้น เขาก็มีวิธีปรับตัวให้ไม่กระทบกับสุขภาพของตนเองด้วยเช่นกัน

แม้ว่าจะปรับพฤติกรรมการกินใหม่ แต่ก็ไม่กระทบกับการเป็นยูทูบเบอร์สายกินของเกี้ยแซ่บบ เพราะเขาปรับให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น
แม้ว่าจะปรับพฤติกรรมการกินใหม่ แต่ก็ไม่กระทบกับการเป็นยูทูบเบอร์สายกินของเกี้ยแซ่บบ เพราะเขาปรับให้มีความยืดหยุ่นมากขึ้น

...

“ช่วงแรกๆ หลังป่วยแล้วมาถ่ายรายการเราก็พยายามจะลดไขมัน ลดแป้ง ลดโซเดียม และพยายามกินน้ำให้ได้มากที่สุด แต่ก็ยังเน้นของที่เราชอบและอยากกินเหมือนเดิม ซึ่งในวันจันทร์ถึงศุกร์เรามีวินัยในการกินเต็มที่ แต่ในวันเสาร์ที่ถ่ายรายการ ถือว่าเป็นวันชีทเดย์ ถ้าเลือกได้เราก็จะไม่กินหลังหกโมงเย็น เทปกลางคืนจะน้อยลง ทุกๆ 2-3 เดือนจะมีสักครั้ง และด้วยความที่กระเพาะเราอาจจะเล็กลงไม่เหมือนสมัยก่อน ทำให้เรากินมากไม่ได้ เมื่อก่อนที่จะป่วยถ้าอร่อยจะกินเกือบหมดชาม แต่ทุกวันนี้ถ้าเห็นหน้ากล้องแค่ไหนก็คือกินแค่นั้น ไม่ได้กินต่อ เรียกได้ว่าเป็นการกินเพื่อความอร่อย ให้รู้รสชาติ ไม่ได้กินเพื่อให้อิ่ม”

ปัจจุบันเกี้ยแซ่บบมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงขึ้นจากการดูแลตนเองอย่างมีวินัยแต่ไม่เคร่งครัดจนเกินไป
ปัจจุบันเกี้ยแซ่บบมีสุขภาพร่างกายแข็งแรงขึ้นจากการดูแลตนเองอย่างมีวินัยแต่ไม่เคร่งครัดจนเกินไป

แม้ว่าจะประสบกับวิกฤติในชีวิต และผ่านมาได้อย่างลำบาก แต่การปรับตัวเพื่อให้สุขภาพแข็งแรงขึ้นและยืดหยุ่นการใช้ชีวิตไม่ให้กระทบกับการทำงานที่เขารัก ก็เป็นทางออกที่ดีและลงตัวที่สุดสำหรับการเป็นยูทูบเบอร์สายกินของเกี้ยแซ่บ และยังเป็นตัวอย่างที่ดีของการหันมาใส่ใจดูแลสุขภาพตนเองให้กับผู้ติดตามหลักแสนของเขาอีกด้วย

ขอบคุณภาพ: เพจเฟซบุ๊ก เกี้ยแซ่บบ

อ่านเรื่องน่ารู้สาระดีๆ อัปเดตสำหรับผู้ใหญ่ได้ที่ : lifestyle/lifestyle45plus