เคยไหม เข้ายิมทุกวัน วิ่งจนหอบ หรือทำตามคลิปเบิร์นไขมันขั้นสุด แต่พอขึ้นตาชั่ง ตัวเลขกลับนิ่งสนิทจนน่าถอนหายใจ หลายคนเริ่มท้อจนอยากเลิกออกกำลังกาย
ก่อนจะถอดใจ ลองหยุดเช็กสักนิดว่าคุณกำลังตกหลุมพรางความพยายามที่ผิดจุดอยู่หรือเปล่ากับ 3 สาเหตุหลักที่ทำให้เหงื่อที่เสียไป... ไม่เปลี่ยนเป็นน้ำหนักที่ลดลง
3 เหตุผลที่ทำให้ออกกำลังกายยังไงน้ำหนักก็ไม่ลด
- Reward Eating รางวัลที่แลกมาด้วยแคลอรีมหาศาล
ความผิดพลาดคลาสสิกของมือใหม่ คือ การประเมินการเผาผลาญสูงเกินไป เรามักจะรู้สึกว่า "วันนี้วิ่งไปตั้ง 1 ชั่วโมง กินชานมไข่มุกสักแก้วจะเป็นไรไป" แต่ความจริงคือการวิ่ง 30 นาทีอาจเผาผลาญได้ประมาณ 200-300 แคลอรี แต่ชานมไข่มุกแก้วเดียวอาจสูงถึง 400-500 แคลอรี ทางแก้ คือ เลิกใช้ของกินเป็นรางวัลหลังออกกำลังกาย เปลี่ยนไปให้รางวัลตัวเองด้วยเสื้อผ้าชุดใหม่ หรือการไปนวดผ่อนคลายแทน
- โฟกัสแต่ "คาร์ดิโอ" จนลืมงาน "เวทเทรนนิ่ง"
การวิ่งหรือปั่นจักรยานเป็นเรื่องดีต่อหัวใจ แต่ถ้าคุณอยากให้น้ำหนักลงอย่างยั่งยืน การสร้างกล้ามเนื้อคือ "กุญแจสำคัญ" เพราะกล้ามเนื้อคือเตาเผาพลังงานชั้นดี แม้ในขณะที่คุณนั่งอยู่เฉยๆ หรือนอนหลับ หากคุณคาร์ดิโออย่างเดียวโดยไม่สร้างกล้ามเนื้อ ร่างกายจะเริ่มปรับตัวและเผาผลาญน้อยลงเรื่อยๆ
วิธีแก้ คือ ให้แบ่งตารางมาทำ Bodyweight หรือ Weight Training อย่างน้อย 2-3 วันต่อสัปดาห์ เพื่อกระตุ้นระบบเผาผลาญให้ทำงานตลอด 24 ชั่วโมง
- เครียดเกินไปจนฮอร์โมนรวน
การโหมออกกำลังกายหนักเกินไป ผสมกับความเครียดจากการจดจ่อกับตัวเลขบนตาชั่ง อาจเป็นตัวการที่ทำให้ร่างกายหลั่งฮอร์โมนคอร์ติซอลออกมา และเมื่อคอร์ติซอลสูงเกินไป ร่างกายจะเข้าสู่โหมด "สะสมไขมัน" โดยเฉพาะบริเวณหน้าท้อง และทำให้เราหิวบ่อยกว่าปกติ แถมยังทำให้ร่างกายกักเก็บน้ำ (Water Retention) จนดูตัวบวมน้ำหนักไม่ลด
...
แน่นอนว่า ความสำคัญ คือ การกำจัดความเครียด และให้ความสำคัญกับการนอนหลับให้เพียงพอเพื่อจัดวันพักให้ร่างกายได้ซ่อมแซมตัวเองบ้าง
การที่น้ำหนักที่ไม่ลด ไม่ได้แปลว่าคุณไม่พยายาม แต่มันคือสัญญาณให้คุณลองปรับสมดุล ระหว่างการกิน การออกกำลังกาย และการพักผ่อนให้พอดีควบคู่ไปด้วย