ท่ามกลางกระแสธารความเปลี่ยนแปลงที่เชี่ยวกรากของโลกยุคใหม่ คำถามสำคัญไม่ได้อยู่ที่ว่าเราจะ “อยู่รอด” อย่างไร แต่อยู่ที่ว่าเราจะ “เติบโต” ไปพร้อมกับ New Economy ได้อย่างไร
ดร.พิเชฐ ดุรงคเวโรจน์ กรรมการบริหาร ธนาคารกรุงเทพ จำกัด (มหาชน) ได้สะท้อนมุมมองที่ลึกซึ้งเกี่ยวกับการเตรียมความพร้อมของภาคธนาคาร และทิศทางเศรษฐกิจไทยที่จะก้าวไปข้างหน้า โดยย้ำชัดว่า “เทคโนโลยีไม่ได้หมายความว่าของเก่าต้องทิ้ง แต่คือการปรับของเก่าให้ทันสมัย และสร้างสิ่งใหม่ที่ตอบโจทย์”
ความคล่องตัวคือหัวใจของธนาคารยุคใหม่
ในยุคที่ความเปลี่ยนแปลงเกิดขึ้นรอบด้าน ธนาคารกรุงเทพไม่ได้มองตัวเองเป็นเพียงผู้ให้บริการทางการเงิน แต่เป็น “พันธมิตร” ที่มีความเข้าใจลึกซึ้งในทุกบริบท
ดร.พิเชฐ ชี้ให้เห็นว่า จุดแข็งของธนาคารคือการทำงานประสานกันของทีมงานผู้เชี่ยวชาญ และเครือข่ายสาขาที่ครอบคลุมกว่า 13-14 เขตเศรษฐกิจทั่วโลก ไม่ใช่แค่อาเซียนหรือเอเชีย แต่เชื่อมโยงไปถึงสหรัฐอเมริกาและยุโรป
ความได้เปรียบนี้ทำให้ธนาคารสามารถแลกเปลี่ยนองค์ความรู้ข้ามพรมแดน และปรับตัวรับมือกับกฎเกณฑ์การค้าโลกใหม่ๆ ได้อย่างทันท่วงที เช่น มาตรการปรับราคาคาร์บอนข้ามพรมแดน (CBAM) ของสหภาพยุโรป ซึ่งธนาคารได้ทำหน้าที่ถ่ายทอดความรู้เรื่อง Green Economy และ Bio Economy ไปสู่ลูกค้าอย่างเข้มข้นตลอดทั้งปี
สร้างสมดุลระหว่าง “ความเร็ว” และ “ความเข้าใจ”
เมื่อพูดถึง Digital Transformation ดร.พิเชฐ มองว่านี่คืองานที่ต้องทำทุกวัน เพราะโจทย์ใหญ่ไม่ใช่สิ่งที่ธนาคารอยากให้ แต่คือ “สิ่งที่ลูกค้าต้องการ”
- สำหรับคนรุ่นใหม่: โจทย์คือ ความเร็ว ความสะดวก และความสนุกในการใช้จ่าย
- สำหรับคนรุ่นเก่า: โจทย์คือ ความมั่นใจและการดูแลที่ไม่ทิ้งใครไว้ข้างหลัง
ธนาคารจึงต้องรักษา “สมดุล” อย่างละเอียดอ่อน ระหว่างการพัฒนาเทคโนโลยีให้ล้ำสมัย กับการรักษาความสัมพันธ์ที่เข้าถึงลูกค้าทุกกลุ่ม นอกจากนี้ การดูแลลูกค้าในแต่ละ Sector ทั้งอาหาร พลังงาน ยานยนต์ หรืออสังหาริมทรัพย์ ต่างก็ต้องการ “ชุดความรู้” ที่แตกต่างกัน ซึ่งธนาคารต้องอัปเกรดตัวเองให้ทันโลกอยู่เสมอ
เศรษฐกิจใหม่ที่มาจ่อหน้าประตูบ้าน
ในระดับมหภาค ดร.พิเชฐ มองว่า New Economy ไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป แต่มันมายืนรออยู่ที่หน้าประตูบ้านเราแล้ว โดยแบ่งออกเป็น 3 เรื่องหลัก ได้แก่
1. เทคโนโลยีเปลี่ยนโลก
ตั้งแต่ AI รถยนต์ไฟฟ้า (EV และ Hybrid) ไปจนถึง Space Technology อย่างดาวเทียม THEOS (ไทยโชติ) ที่เข้ามาช่วยบริหารจัดการน้ำท่วมและการเพาะปลูกข้าวได้อย่างแม่นยำ
2. อุตสาหกรรมแห่งอนาคต
ในวันนี้ อุตสาหกรรม e-Commerce และ Intelligent Logistics กำลังเป็นเวทีของคนรุ่นใหม่
3. เกษตรอัจฉริยะ (Smart Farming)
ไทยมีความได้เปรียบเรื่องฐานทรัพยากรชีวภาพ (BCG) คนรุ่นใหม่ไม่จำเป็นต้องทำเกษตรแบบเดิม แต่สามารถใช้เทคโนโลยี Precision Farming การใช้ปุ๋ยอินทรีย์ และ Super Computer เพื่อพยากรณ์อากาศล่วงหน้า ช่วยยกระดับภาคเกษตรไทยสู่ความยั่งยืน
“เอกชนต้องเป็นหัวหอกในการขับเคลื่อน เพราะมีความคล่องตัวและเชื่อมโยงกับโลกภายนอกสูง โดยมีภาครัฐคอยเป็นลมใต้ปีก สนับสนุนสิทธิประโยชน์และโครงสร้างพื้นฐาน” ดร.พิเชฐ กล่าวเสริม
ปลดล็อกศักยภาพ “คน” และ “ทรัพยากร”
เมื่อถามถึงจุดเด่นและสิ่งที่ไทยต้องเร่งพัฒนา ดร.พิเชษฐ มองเห็นทั้งโอกาสและวิกฤตที่ต้องจัดการ ได้แก่
1. ต้องบริหารจัดการ “น้ำ” ให้เป็น
เพราะประเทศไทยมีน้ำเยอะ แต่ต้องบริหารให้ถูกที่ถูกเวลา เก็บน้ำหน้าแล้ง ระบายน้ำในฤดูน้ำท่วม และใช้ป่าไม้เป็นตัวช่วยธรรมชาติ
2. ปฏิรูปการศึกษาด้วย AI
ทรัพยากรมนุษย์คือหัวใจสำคัญ ดร.พิเชษฐ จึงเสนอแนวคิดการใช้ AI as a Personal Tutor เข้ามาช่วยครู เพื่อให้นักเรียนทุกคนมีติวเตอร์ส่วนตัว 24 ชั่วโมง โดยรัฐต้องวางโครงสร้างพื้นฐาน AI ที่ “สะอาดและปลอดภัย” ปราศจากเรื่องยาเสพติด การหลอกลวง หรือการ Bully
3. รับมือสังคมสูงวัย
เปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาสด้วยการขยายอายุเกษียณ ส่งเสริมการจ้างงานผู้สูงวัยที่มีศักยภาพ และสร้างระบบการออมตั้งแต่เริ่มทำงาน เพื่อไม่ให้เป็นภาระในอนาคต
รากฐานที่แข็งแกร่งสู่สังคมที่ยั่งยืน
ในช่วงท้าย ดร.พิเชฐ ฝากข้อคิดถึงผู้ประกอบการไทยว่า ภาคเอกชนไทยมีศักยภาพสูง ขอเพียงได้รับการสนับสนุนในการเปลี่ยนผ่านเทคโนโลยี (Tech Transition) และการเข้าสู่สังคมคาร์บอนต่ำ (Low Carbon) แต่เหนือสิ่งอื่นใด สิ่งที่เทคโนโลยีแทนที่ไม่ได้คือ “รากฐานทางสังคม”
“เราต้องไม่ลืมสร้างสังคมที่มีความอบอุ่น ครอบครัวที่เข้มแข็ง และความเกื้อกูลกัน นี่คือจุดแข็งของสังคมไทยที่หาได้ยากในเวทีโลก หากเราเติมเต็มส่วนนี้ได้ ควบคู่ไปกับการพัฒนาเศรษฐกิจ ประเทศไทยก็จะเดินหน้าต่อไปได้อย่างมั่นคงและยั่งยืน” ดร.พิเชฐ ทิ้งท้าย