ภาพของเมืองเศรษฐกิจหลักอย่างหาดใหญ่ และพื้นที่โดยรอบในจังหวัดสงขลา ที่ต้องจมอยู่ใต้มวลน้ำมหาศาลในเดือนพฤศจิกายน 2568 นี้

ทั้งหมดไม่ใช่ภาพชินตาของฤดูน้ำหลาก ตามปกติที่ชาวใต้คุ้นเคย แต่มันคือสัญญาณเตือนภัยระดับวิกฤตที่ตะโกนบอกเราว่า ธรรมชาติกำลังเปลี่ยนไป

เห็นชัดจากการทุบสถิติปริมาณฝนในรอบหลายร้อยปี ผสมโรงกับการขยายตัวของเมือง และกับดักทางจิตวิทยา ได้เปลี่ยนเมืองที่เคยเชื่อว่า “เอาอยู่” ให้กลายเป็นพื้นที่ประสบภัยในชั่วข้ามคืน

ไทยรัฐออนไลน์ ชวนมาถอดรหัส 4 ปัจจัยสำคัญที่ทำให้สงขลาต้องเผชิญกับบททดสอบที่หนักหนาที่สุดครั้งหนึ่งในประวัติศาสตร์

การมาเยือนของ “Rain Bomb” และฝนรอบ 300 ปี

สาเหตุแรกที่ปฏิเสธไม่ได้คือความเกรี้ยวกราดของธรรมชาติ สถิติทางอุทกวิทยาชี้ชัดว่า ปริมาณฝนที่ถล่มลงมาในวันที่ 21 พฤศจิกายน เพียงวันเดียวนั้นสูงถึง 335 มิลลิเมตร และเมื่อรวมสะสม 3 วัน (ปริมาณทะลุ 630 มม.) ตัวเลขนี้ถือเป็น “สถิติในรอบ 300 ปี” หรือโอกาสที่จะเกิดขึ้นนั้นน้อยมากๆ

ทั้งหมดที่กล่าวมา คือปรากฏการณ์ Extreme Weather (สภาพอากาศสุดขั้ว) ที่เกิดจากอิทธิพลของลานีญาและลมมรสุมที่พัดสอบเข้าหากันอย่างจังที่หาดใหญ่ จนเกิดเป็น “Rain Bomb” หรือระเบิดฝนที่เทลงมาตูมเดียวเหมือนฟ้ารั่ว เกินกว่าศักยภาพการระบายน้ำใดๆ จะรับไหว

อ.หาดใหญ่ กับ “กับดักภูมิศาสตร์” แอ่งกระทะ-คอขวด

โดยธรรมชาติ หาดใหญ่มีชัยภูมิเป็น “จุดเช็กอินของน้ำ” อยู่แล้ว เพราะเป็นพื้นที่แอ่งกระทะที่ต้องรองรับน้ำจากภูเขาถึง 3 ทิศทาง ทั้งจากเขาคอหงส์, เทือกเขาบรรทัด และเทือกเขาสันกาลาคีรี โดยมีทางระบายออกหลักทางเดียวคือ “คลองอู่ตะเภา” เพื่อไหลลงสู่ทะเลสาบสงขลา

...

ปัญหาคือ “คอขวด” ที่เกิดจากฝีมือมนุษย์ นั่นก็คือการขยายตัวของเมืองทำให้คลองอู่ตะเภาที่เคยคดเคี้ยวและกว้างขวางตามธรรมชาติ ถูกบีบอัดด้วยสิ่งก่อสร้างจนกลายเป็นเส้นเลือดที่ตีบตัน เมื่อต้องเจอกับมวลน้ำก้อนยักษ์จาก Rain Bomb น้ำจึงเอ่อล้นทะลักเข้าท่วมพื้นที่เศรษฐกิจอย่างรวดเร็ว

ภาพลวงตาของโครงสร้างพื้นฐาน

คำถามถึง คลองระบายน้ำ ร.1 หรือ คลองภูมินาถดำริ ซึ่งเปรียบเสมือนทางด่วนน้ำที่เคยช่วยเมืองระบายน้ำไว้ได้หลายครั้ง แต่ในรอบนี้ สถานการณ์ต่างออกไป เพราะคลอง ร.1 ถูกออกแบบมาเพื่อตัดยอดน้ำหลากจากนอกเมืองให้ไหลอ้อมลงทะเล

ทว่าวิกฤตครั้งนี้คือ “ฝนตกกลางเมือง” ในปริมาณมหาศาล น้ำท่วมขังอยู่ในแอ่งกระทะกลางเมืองหาดใหญ่ แต่ไม่สามารถระบายออกไปได้ เพราะระดับน้ำในคลองสายหลักก็เต็มปริ่ม ยิ่งมาเจอกับจังหวะน้ำทะเลหนุน ก็เปรียบเสมือนเรากำลังต้มน้ำในหม้อที่ถูกปิดฝาไว้แน่น น้ำจึงท่วมขังสูงและลดระดับลงได้ยาก

จิตวิทยาแห่งความสูญเสีย ทำไมคนถึงหนีไม่ทัน

ทั้งที่กรมป้องกันและบรรเทาสาธารณภัย (ปภ.) มีการแจ้งเตือนถึง แต่ทำไมยังมีผู้ติดค้างจำนวนมาก คำตอบอยู่ที่ “กับดักทางความคิด” อย่างแรก คือ Normalcy Bias หรือ อคติปกติวิสัย จากประสบการณ์ในอดีตที่เคยผ่านน้ำท่วมปี 53 มาได้ หรือความคุ้นชินกับน้ำท่วมตามฤดูกาล ทำให้ชาวบ้านประเมินสถานการณ์ต่ำไป กับความคิดที่ว่าคงไม่หนัก หรือเดี๋ยวก็คงลดเหมือนเคย

พร้อมกับดักการสื่อสาร ปากต่อปากทั้งประชาชนด้วยกันเอง หรือการที่ผู้นำท้องถิ่น ส่งสัญญาณว่า “เอาอยู่” นั้นทำให้ประชาชนลดการ์ดลง ไม่เตรียมพร้อมอพยพอย่างจริงจัง

ผนวกกับความเร็วของน้ำ จากฝนแบบ Rain Bomb ทำให้น้ำไม่ได้ค่อยๆ ขึ้นเป็นวันเหมือนอดีต แต่ระดับน้ำพุ่งสูงขึ้นในหลักชั่วโมงทำให้ช่วงเวลาตัดสินใจสั้นลงจนตั้งตัวไม่ทัน

ท่ามกลางสายฝนที่ยังโปรยปราย และระดับน้ำที่เริ่มทรงตัว สิ่งหนึ่งที่ปรากฏชัดเจนพอกับความเสียหาย คือความแข็งแกร่งของพี่น้องชาวใต้ แม้สถิติฝนจะหนักหนาที่สุดในรอบ 300 ปี แต่ก็ไม่อาจทำลายหัวใจนักสู้ของคนที่นี่ได้

บทเรียนครั้งนี้มีราคาแพงและเราต้องเรียนรู้เพื่อปรับตัวสู่อนาคต แต่สำหรับวันนี้ วินาทีนี้ ไทยรัฐออนไลน์ ขอส่งกำลังใจให้พี่น้องชาวสงขลา หาดใหญ่ และทุกพื้นที่ในภาคใต้ ให้ผ่านพ้นค่ำคืนที่ยากลำบากนี้ไปให้ได้ ฟ้าหลังฝนย่อมสดใสเสมอ และคนไทยจะไม่ทิ้งกัน

ภาพ: ยุทธนา วัฒนาวงศ์ศิริ