ผืนแผ่นดินไทยอุดมไปด้วย “ของดี” จากภาคเกษตรกรรม ข้าวหอมมะลิเลื่องชื่อ อ้อยรสหวานฉ่ำ ข้าวโพดสีทองอร่าม ไปจนถึงผลไม้นานาพันธุ์ตามฤดูกาล

วัตถุดิบเหล่านี้ไม่เพียงแต่หล่อเลี้ยงผู้คน แต่ยังเป็นขุมทรัพย์ที่รอการแปรรูปเพื่อสร้างมูลค่า และในวันนี้ คนรุ่นใหม่กำลังมองเห็นศักยภาพนั้นผ่าน “ศาสตร์การทำสุรา”

สุรา เบียร์ และเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ไม่ใช่เป็นเพียงน้ำเมา แต่คือผลิตภัณฑ์ที่สามารถสะท้อนวัฒนธรรม ภูมิปัญญา และวัตถุดิบท้องถิ่น นำพามาซึ่งเศรษฐกิจชุมชน และชื่อเสียงของประเทศ เฉกเช่นที่ โซจู-สาเก ของญี่ปุ่น, วิสกี้ ของสกอตแลนด์, หรือ เบอร์เบิน ของอเมริกา ได้สร้างชื่อเสียงและรายได้มหาศาลให้กับเกษตรกรมาแล้วทั่วโลก

ทว่าสำหรับประเทศไทย แม้เราจะมี สาโท เหล้าขาว หรือเหล้าอุ ที่หยั่งรากลึกในวิถีชีวิต แต่กลับน่าเสียดายที่ยังไม่ถูกผลักดันให้ไปไกลในเวทีโลกเท่าที่ควร

บทความนี้จะพาไปส่องศักยภาพของวัตถุดิบเกษตรไทย และเจาะลึกถึง “อุปสรรคที่ซ่อนอยู่” ผ่านมุมมองของ เสือ ธรรมวิทย์ ลิ้มเลิศเจริญวนิช เจ้าของแบรนด์ออนซอน สุราชุมชนจากน้ำตาลมะพร้าวแห่งจังหวัดสกลนคร หนึ่งในผู้ประกอบการที่กำลังต่อสู้บนเส้นทางนี้

...

ขุมทรัพย์ในไร่ กับวัตถุดิบไทยที่รอวันเปล่งประกาย

ศักยภาพของเกษตรกรรมไทยในการทำสุรานั้นมีมหาศาล วัตถุดิบหลักหลายชนิดมีเอกลักษณ์เฉพาะตัวที่โดดเด่น เช่น ข้าว ที่เป็นหัวใจของสุราพื้นถิ่นหลายประเภท ความหลากหลายของสายพันธุ์ข้าวไทย ทั้งรสชาติและกลิ่นที่เป็นเอกลักษณ์ของแต่ละท้องถิ่น คือมิติที่นักกลั่นสามารถชูโรง สร้างอัตลักษณ์ระดับจังหวัดไปสู่ระดับประเทศได้

รวมถึง อ้อย พืชเศรษฐกิจที่แปรรูปได้หลากหลาย ทั้งเหล้าขาวและรัม นอกจากนี้ยังเป็นผลผลิตที่แทบจะไม่เหลือขยะ ซึ่งสอดคล้องกับเทรนด์ความยั่งยืน ส่วนข้าวโพด ที่ให้รสชาติหอมหวาน กลมกล่อม เป็นวัตถุดิบชั้นดีในการหมักยีสต์และรังสรรค์สุราที่มีมิติ

ผลไม้นานาพันธุ์ ที่อาจเป็น “ไพ่เด็ด” ของไทย ไม่ว่าจะเป็น ลิ้นจี่ ลำไย มะยงชิด สับปะรด หรือแม้แต่มะพร้าว ความหลากหลายนี้สามารถนำมาสร้างสรรค์กลิ่น และรสชาติที่สุราจากที่อื่นในโลกไม่มี ที่ เสือ แห่งออนซอน ได้เกริ่นเอาไว้ให้ฟังอย่างน่าสนใจ

มวยรองผู้ไร้ชื่อ ปัญหาใหญ่กว่ากฎหมาย คือ “การสร้างแบรนด์”

แม้เราจะมีวัตถุดิบชั้นเลิศ แต่ เสือ ธรรมวิทย์ กลับชี้ให้เห็นความจริงที่เจ็บปวดว่า เรายังคงเป็น “มวยรอง” ในตลาดโลก โดยเฉพาะเมื่อต้องสู้ด้วยวัตถุดิบที่ทับซ้อนกัน

ผลผลิตเกษตรมันทำแอลกอฮอล์ได้เยอะมาก เจ้าของแบรนด์ออนซอน อธิบาย “แต่ถ้าเราทำเหล้าจากอ้อย เราก็ต้องไปเจอกับเหล้ารัมจากแคริบเบียนที่เขามีชื่อเสียงมาเป็นร้อยปี ถ้าเราทำจากข้าว ญี่ปุ่นก็มีสาเกที่ทำแบรนดิงได้ดีกว่าเรามาก เรามาช้ากว่าเขาเป็นร้อยปี ทั้งที่วัตถุดิบเราเผลอๆ ดีกว่าด้วยซ้ำ”

แต่จุดแข็งที่สุดของเรา เสือ ธรรมวิทย์ ย้ำว่า คือ “วัตถุดิบที่ต่างประเทศไม่มีเลยหรือหาได้ยาก เช่น ผลไม้เฉพาะถิ่นอย่างมะยงชิด ลิ้นจี่ น้ำตาลมะพร้าวและอีกมากมาย ทว่าปัญหาก็ตามมาทันที พอเราเอามาทำเหล้า เราจะไปขายแล้วบอกว่ามันคือเหล้าประเภทอะไร”

...

“บ้านเราทำเหล้าจากอะไรก็ตาม จะถูกเรียกว่า ‘เหล้าขาว’ หมด อย่างออนซอนเอง เราทำจากน้ำตาลมะพร้าว ถามว่ามันเป็นหมวดไหน ก็ไม่รู้ จะเป็นรัมก็ไม่ใช่ เพราะรัมทำจากอ้อย จะเป็นวิสกี้ก็ไม่ได้ เพราะไม่ได้ใช้มอลต์ จุดนี้คือจุดแข็งเรานะ แต่เรากลับไม่สามารถตั้งชื่อเหล้า หรือกำหนดประเภทของเราเองได้”

“นี่คือ Pain Point ที่ใหญ่ที่สุด เราไม่มีคำจำกัดความของ Spirit of Thailand เหมือนที่เกาหลีมีโซจู หรือสกอตแลนด์มีวิสกี้ ทั้งที่ศักยภาพของเราคือการเป็น ‘เมืองหลวงของเหล้า’ จากผลไม้หลากชนิดได้เลย” เสือ ธรรมวิทย์ กล่าว

ธรรมวิทย์ ลิ้มเลิศเจริญวนิช เจ้าของแบรนด์ออนซอน สุราชุมชนจากน้ำตาลมะพร้าวแห่งจังหวัดสกลนคร
ธรรมวิทย์ ลิ้มเลิศเจริญวนิช เจ้าของแบรนด์ออนซอน สุราชุมชนจากน้ำตาลมะพร้าวแห่งจังหวัดสกลนคร

กฎหมาย “ปลดล็อก” แต่ยัง “ล็อกสเปก”

...

เมื่อพูดถึงร่างกฎหมายสุราฉบับใหม่ ที่หลายคนคาดหวังว่าจะเป็นการ “ปลดล็อก” แต่ เสือ ธรรมวิทย์ กลับถอนหายใจ เพราะกฎหมายที่ปลดล็อก แต่ยังถูกล็อกสเปก

“ตอนนี้ปวดหัวกันอยู่ครับ มันไม่เหมือนที่คุยกันไว้ มันกลับไปลูปเดิม คือเหมือนจะเปิดโอกาสให้ทำ แต่ก็ไปจำกัดสเปกที่สูงขึ้น มันยังพูดได้ไม่เต็มปากว่าเสรีขึ้น”

แม้กฎหมายใหม่จะปลดล็อกให้ทำสุราสีหรือเหล้าพิเศษได้ แต่กลับเพิ่มเกณฑ์ที่ใหญ่กว่าเดิมมาครอบไว้ เช่น การบังคับให้ต้องมีนักวิทยาศาสตร์การอาหาร ประจำโรงงาน, ต้องมีห้องทำงานให้สรรพสามิต, หรือต้องมีแลปและเครื่องจักรราคาสูง

“ดีดเครื่องคิดเลขก็ต้องลงทุนเพิ่มอีก 5 ล้าน สิบล้าน มันก็ไม่แฟร์กับผู้ประกอบการตัวเล็ก... เหมือนเขาทำถนน สี่เลน แต่ให้คุณวิ่งแค่ 2 เลนอยู่ดี”

ส่วนการจำกัดเวลา และพื้นที่ในการจำหน่ายในปัจจุบัน คุณเสือ มองว่าเป็นการซ้ำเติมผู้ค้ารายย่อย เพราะสุดท้ายร้านอาหารที่ได้ประโยชน์ หรือเครื่องดื่มที่ได้ประโยชน์ก็คือรายใหญ่ที่มีเป็นพาร์ตเนอร์กับบริษัทใหญ่ และเรื่องนี้เป็น “การกระตุ้นที่มันบางมากสำหรับสุราชุมชน”

...

รากฐานที่ขาดหาย “การศึกษาเรื่องเหล้า” คือหัวใจที่ถูกลืม

ปัญหาที่ใหญ่กว่ากฎหมาย คือรากฐานที่สำคัญที่สุดที่ภาครัฐมองข้าม นั่นคือ “องค์ความรู้และการศึกษา” 

“ต่อให้ภาครัฐส่งเสริมเท่าไหร่ แต่องค์ความรู้ในการทำเหล้าเรายังน้อยมาก” เสือ ธรรมวิทย์ กล่าวต่อ “ไม่มีสถาบันหรือหน่วยงานไหนมาสอนจริงจังว่า ทำเหล้าให้ถูกกฎหมายและคุณภาพดี มันทำยังไง ทุกวันนี้เราครูพักลักจำ จากยูทูบ หรือต้องไปเทกคอร์สเมืองนอก ซึ่งพออากาศเปลี่ยน อัตราส่วนก็ต่างกันอีก”

ธรรมวิทย์ ลิ้มเลิศเจริญวนิช เรียกสิ่งนี้ว่า “ตลกร้ายที่ย้อนแย้ง” ที่สังคมอยากส่งเสริมสุรา แต่กลับกลัวที่จะพูดถึงหรือสอนเรื่องนี้ในสถาบันการศึกษา ทั้งที่นี่คือหัวใจของการควบคุม “คุณภาพ” ซึ่งเป็นสิ่งที่เขากังวลที่สุดหากตลาดเปิดเสรี

“พอเสรี สิ่งที่กังวลคือเรื่องคุณภาพนี่แหละ” ธรรมวิทย์ กล่าว “ภาพลักษณ์เหล้าไทยกับคนไทยมันก็ไม่ดีอยู่แล้วแต่เริ่ม ทุกวันนี้สมาคมสุราท้องถิ่นไทย ก็พยายามผลักดัน และคุยกันเองว่าจะทำใบรับรอง เพื่อ QC กันเอง เพราะ อย. หรือ มอก. ก็ไม่ได้เข้ามายุ่งตรงนี้ ทำให้พวกเราต้องหาทางการันตีให้ผู้บริโภคบางส่วนว่าเหล้าไทย สุราชุมชนนั้นมีคุณภาพเพียงพอ”

ธรรมวิทย์ ลิ้มเลิศเจริญวนิช เจ้าของแบรนด์ออนซอน สุราชุมชนจากน้ำตาลมะพร้าวแห่งจังหวัดสกลนคร
ธรรมวิทย์ ลิ้มเลิศเจริญวนิช เจ้าของแบรนด์ออนซอน สุราชุมชนจากน้ำตาลมะพร้าวแห่งจังหวัดสกลนคร

โอกาสที่รอวันปลดปล่อย เมื่อ “สุรา” ผสาน “วัฒนธรรม”

แม้จะเต็มไปด้วยอุปสรรค แต่ เสือ ธรรมวิทย์ ยังมองเห็นแสงสว่าง หากวันหนึ่ง “สุราไทย” ถูกปลดล็อกอย่างแท้จริง ทั้งการผลิต การจำหน่าย และการศึกษา ไว้ว่า “ถ้าปลดล็อกจริงๆ มันจะสร้างการท่องเที่ยวรูปแบบใหม่ได้เลย”

เสือ ได้วาดภาพให้ฟังว่า “เหมือนต่างประเทศที่มีทัวร์ไปโรงกลั่น ดูวิถีชีวิต ศึกษาจริงจัง มันจะเป็นจุดขายใหม่ของประเทศไทยได้เลย และที่สำคัญที่สุด คือการสร้างวัฒนธรรมการกินดื่ม (Pairing Culture) ที่แข็งแกร่ง”

“ตอนนี้เราชอบพรีเซนต์อาหารถิ่น แต่เราไม่พูดถึงอาหารกับเครื่องดื่ม เพราะมันพูดไม่ได้ กลัวหาว่าโฆษณา” คุณเสือกล่าว

“ถ้ามันทำได้ มันจะสร้างวัฒนธรรมใหม่ๆ อย่างอีสาน ลาบ ก้อย ซอยจุ๊ ก็คู่กับเหล้าขาว ในกรุงเทพฯ เองร้านอาหารก็เริ่มทำแพร์ริงกันแล้ว ภาพรวมจะทำให้ Food & Beverage (อาหารและเครื่องดื่ม) เราแข็งขึ้นเหมือนที่ต่างประเทศมีเนื้อคู่ไวน์ หรืออิซากายะคู่สาเก”

สุดท้ายนี้ เสือ ธรรมวิทย์ ทิ้งท้ายว่า การต่อสู้ครั้งนี้ไม่ใช่เพื่อแบรนด์ใดแบรนด์หนึ่ง แต่เพื่ออุตสาหกรรมทั้งหมด

“การปลดล็อกไม่ได้ทำให้ผมขายดีขึ้นคนเดียว แต่ผมจะมีพาร์ตเนอร์ที่เดินไปด้วยกันง่ายขึ้น... เราต้องเกาะกันไปเป็นกลุ่ม ยังไงไปคนเดียวก็ไม่รอดครับ”

จากมุมมองของ เสือ ธรรมวิทย์ ลิ้มเลิศเจริญวนิช แห่งแบรนด์ออนซอน ได้สะท้อนภาพความจริงของวงการสุราไทยไว้อย่างชัดเจน แม้ผืนแผ่นดินไทยจะอุดมไปด้วยของดีในไร่ ไม่ว่าจะเป็น ข้าว อ้อย ข้าวโพด หรือผลไม้ไพ่เด็ดอย่างลิ้นจี่และน้ำตาลมะพร้าว แต่ศักยภาพมหาศาลนี้กลับถูกกดทับไว้

ปัญหาใหญ่ไม่ใช่แค่กฎหมายที่ปลดล็อก แต่ยังล็อกสเปกจนรายย่อยไม่อาจเติบโต แต่คือปัญหาที่รากลึกกว่านั้น เช่นการไร้ตัวตน สุราไทยยังขาดการจำแนกประเภทที่ชัดเจน ถูกเรียกรวมๆ ว่า “เหล้าขาว” ทำให้เรายังเป็น “มวยรอง” ผู้ไร้ชื่อในเวทีโลก การขาดองค์ความรู้ การขาดสถาบันสอนทำสุราอย่างจริงจัง ทำให้คุณภาพกลายเป็นข้อกังขา และผู้ผลิตต้อง “ครูพักลักจำ”

การขาดวัฒนธรรมร่วม เรายังไม่สามารถผนวกสุราเข้ากับวัฒนธรรมอาหาร หรือการท่องเที่ยวได้อย่างเต็มรูปแบบอุปสรรคเหล่านี้ ไม่สามารถแก้ไขได้โดยลำพัง แต่ต้องการ “พื้นที่” กลางขนาดใหญ่ และ “พลัง” การขับเคลื่อนจากทุกภาคส่วน เพื่อเปลี่ยน “Pain Point” ให้กลายเป็น “Opportunity”

ธรรมวิทย์ ลิ้มเลิศเจริญวนิช เจ้าของแบรนด์ออนซอน สุราชุมชนจังหวัดสกลนคร ร่วมเสวนาบนเวทีเมรัยไทยแลนด์ 2024
ธรรมวิทย์ ลิ้มเลิศเจริญวนิช เจ้าของแบรนด์ออนซอน สุราชุมชนจังหวัดสกลนคร ร่วมเสวนาบนเวทีเมรัยไทยแลนด์ 2024

ปลดล็อกมวยรอง สู่เวทีโลก “เมรัยไทยแลนด์ 2025” เวทีตอบโจทย์สุราไทย ที่ใหญ่กว่าแค่ ‘กฎหมาย’ แต่คือ ‘โอกาส’

เมรัยไทยแลนด์ 2025 คำตอบของการขับเคลื่อน เพื่อตอบโจทย์ความท้าทายนี้ และสานต่อการผลักดันเศรษฐกิจฐานราก ไทยรัฐ จึงกลับมาอีกครั้งกับ “เมรัยไทยแลนด์ 2025” มหกรรมสุราชุมชนและคราฟต์เบียร์ไทยครั้งยิ่งใหญ่ ที่ไม่ได้เป็นเพียงแค่งานแสดงสินค้า แต่คือเวทีที่ออกแบบมาเพื่อปลดล็อก ศักยภาพสุราไทยในทุกมิติ ที่จะจัดขึ้นภายในวันที่ 26–30 พฤศจิกายน 2568 ณ EM WONDER & SPHERE HALL ชั้น 5 ศูนย์การค้า Emsphere กรุงเทพฯ งานที่รวมพลังผู้ผลิตจากทุกภูมิภาค เพื่อเชิดชูภูมิปัญญาการหมักกลั่น และต่อยอดสู่เวทีโลก ภายใต้แนวคิด “สังสรรค์อย่างสร้างสรรค์ เม้าเหล้า เม้าเบียร์ เม้ามันส์” 


พร้อม 5 โซนไฮไลต์  เมรัยไทยแลนด์ 2025 ที่ตอบโจทย์ทุกปัญหาของวงการสุราไทย

แทนที่จะปล่อยให้ “ของดีในไร่” ถูกจำกัด หรือปล่อยให้ผู้ผลิตต่อสู้เพียงลำพัง “เมรัยไทยแลนด์ 2025” ได้สร้างระบบนิเวศที่สมบูรณ์ผ่าน 5 โซนหลัก ประกอบด้วย

1. ร้านค้าเมรัย การรวมตัวของสุราชุมชนและคราฟต์เบียร์กว่า 50 แบรนด์จากทั่วไทย ให้ผู้บริโภคและนักธุรกิจได้สัมผัส “ของจริง” ที่มีศักยภาพ

2. เสวนาร่ำเมรัย พื้นที่ที่ “คนวงใน” ทั้งภาครัฐและเอกชน จะมาถกเถียงถึงอนาคตและทางออกของอุตสาหกรรมเมรัยไทย ตอบโจทย์ข้อสงสัยที่ “เสือ ธรรมวิทย์” และผู้ประกอบการอีกมากกำลังเผชิญ

3. เมรัยไทยแลนด์ Competition 2025 ที่มายกระดับ “ครูพักลักจำ” สู่ “มืออาชีพ” ผ่านการแข่งขันที่เข้มข้น ทั้ง Craft Beer และ Thai White Spirits รวมถึงการประกวดออกแบบโลโก้และฉลาก เพื่อสร้าง “แบรนดิง” ที่แข็งแกร่ง

4. เสพดนตรีเมรัย ชวนผสานสุราเข้ากับไลฟ์สไตล์ สร้าง “วัฒนธรรมการกินดื่ม” (Pairing Culture) ที่คุณเสือมองหา ผ่านเสียงดนตรีจากศิลปินและดีเจระดับแนวหน้า เช่น Paradise Bangkok Molam International, Yokee Playboy, Apartment Khunpa ฯลฯ

5. เมรัย MOODTAIL BAR ชวนสร้างประสบการณ์ใหม่ พิสูจน์ว่าสุราไทยไม่ใช่แค่ “เหล้าขาว” แต่สามารถเป็นวัตถุดิบชั้นเลิศในค็อกเทลบาร์สุดครีเอทีฟ ที่พร้อมสร้างประสบการณ์ใหม่