เพียงชั่วข้ามคืนหลังกฎหมายควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ฉบับใหม่ มีผลบังคับใช้เมื่อวันที่ 8 พฤศจิกายน 2568 ก็ได้สร้างความสับสนปั่นป่วนอย่างหนักต่อผู้ประกอบการและภาคการท่องเที่ยว โดยเฉพาะประเด็นร้อนอย่างมาตรา "ห้ามดื่มในร้าน นอกเวลาขาย"
ท่ามกลางเสียงวิพากษ์วิจารณ์และความสับสนนั้น วันที่ 9 พ.ย. 68 ชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ สส.พรรคเพื่อไทย ในฐานะอดีตกรรมาธิการ (กมธ.) ผู้ร่วมร่างกฎหมายฉบับนี้ ได้ออกมาเคลื่อนไหวผ่านการโพสต์ข้อความ ชี้ให้เห็นถึง "ภาพที่หายไป" ของกฎหมายฉบับนี้
“ห้ามดื่มในร้าน ในเวลาห้ามขาย” เป็นเรื่องที่กรรมาธิการมีการพูดคุยกันอย่างเข้มข้น ซึ่งการเห็นชอบให้เพิ่มมาตรานี้ขึ้นมา เป็นการเพิ่มควบคู่กับการเตรียมผ่อนคลายเวลาขายเพิ่มขึ้น โดยสภาเห็นชอบให้ยกเลิกประกาศคณะปฏิวัติที่ห้ามให้มีการขายแอลกอฮอล์ในช่วง 14.00-17.00 น. ไปพร้อมกัน
ดังนั้น รัฐบาลแก้ปัญหานี้ได้ โดยการออก ประกาศฉบับใหม่ ที่กำหนดเวลาห้ามขาย ให้สอดคล้องกับสภาพเศรษฐกิจและสังคมมากขึ้น หรือผ่องถ่ายอำนาจให้ท้องถิ่นแต่ละจังหวัด กำหนดเวลาที่เหมาะสมของแต่ละพื้นที่เองก็ได้
แต่รัฐบาลนี้ยังคงเกียร์ว่าง ไม่แม้กระทั่งเริ่มตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพูดคุยกัน รีบหน่อยนะครับ หากยิ่งช้าก็จะยิ่งกระทบกับภาคธุรกิจและการท่องเที่ยวครับ”
โพสต์ดังกล่าวได้ตอกย้ำถึง "สุญญากาศ" ที่เกิดขึ้น ทำไมกฎหมายที่ กมธ. ตั้งใจให้ออกมาเป็น "แพ็กเกจ" จึงเหลือเพียง "ส่วนลงโทษ" แต่ "ส่วนผ่อนคลาย" กลับถูกแช่แข็ง
ไทยรัฐออนไลน์ได้พูดคุยกับ ชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย และอดีต กมธ. ผู้อยู่ในกระบวนการร่างกฎหมายนี้ เพื่อชำแหละถึงเจตนารมณ์ที่แท้จริง "ภาพที่สมบูรณ์" ที่ กมธ. วางไว้ ซึ่งแตกต่างจากสิ่งที่เกิดขึ้นจริงในปัจจุบัน และไขข้อข้องใจว่า "แพ็กเกจ" ที่หายไปนั้นคืออะไร
...
รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย เล่าว่า “ประเด็นหลักคือ กมธ. ตั้งใจให้กฎหมายนี้ออกมาเป็นแพ็กเกจ เพื่อจัดการปัญหาที่ค้างคามานาน กรณีที่มีการร้องเรียนเรื่องการสั่งเครื่องดื่มตุนไว้ก่อนร้านปิดแล้วลากยาว ซึ่งมีความคลุมเครือ เราจึงตั้งใจเขียนกฎหมายให้ชัดเจนว่าพฤติกรรมนี้ทำไม่ได้
แต่ในขณะเดียวกัน เมื่อจะบังคับใช้กฎหมายให้เข้มข้นขึ้น กมธ. ก็เห็นตรงกันว่าต้องมีการผ่อนคลาย เพื่อให้มีการสอดคล้องกัน โดยการบังคับใช้กฎหมายใหม่นี้ ถูกออกแบบมาให้ทำเป็น "คู่ขนาน" ไปกับการยกเลิกประกาศคณะปฏิวัติที่ห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในช่วง 14.00 - 17.00 น.”
"ภาพที่สมบูรณ์ ที่ควรจะเป็นคือ เมื่อกฎหมายใหม่มีผลบังคับใช้ในวันที่ 8 พ.ย. การห้ามดื่มนอกเวลาขายจะเข้มข้นขึ้น แต่ ผู้ประกอบการและประชาชนก็ควรจะได้เวลาขายที่เหมาะสม เช่น การที่ขายได้ตลอด แต่จำกัดเวลาดื่ม ไปพร้อมกัน แต่ปัญหาที่เกิดขึ้นคือในปัจจุบัน ‘แพ็กเกจ’ นี้มันแตก สภาฯ เห็นชอบให้ยกเลิกประกาศคณะปฏิวัติไปแล้ว แต่ทางรัฐบาลกลับเลือกบังคับใช้แค่ส่วนลงโทษ คือ ห้ามดื่มฯ แต่กลับ "เกียร์ว่าง" ในการออกประกาศใหม่เพื่อผ่อนคลายเวลาขาย ทำให้เกิดสุญญากาศ ทางกฎหมาย”
ชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ ตั้งข้อสังเกตว่า “ไม่แน่ใจว่ารัฐบาลอาจติดภารกิจเร่งด่วนอื่นใด (เช่น ปัญหาเศรษฐกิจ หรือประเด็นต่างประเทศ) จนทำให้เรื่องนี้ถูกละเลยไปหรือไม่ แต่ความจริงคือกฎหมายฉบับนี้ประกาศในราชกิจจานุเบกษามาล่วงหน้าประมาณ 2 เดือน รัฐบาลจึงมีเวลาเต็มที่ในการเตรียมการ เขาสามารถตั้งคณะกรรมการขึ้นมาพูดคุยเรื่องกรอบเวลาที่เหมาะสมล่วงหน้าได้เลย เพื่อที่พอกฎหมายบังคับใช้ จะได้ออกประกาศใหม่ได้ทันที แต่กลับกลายเป็นว่า จนถึงวันนี้ คณะกรรมการชุดดังกล่าวยังไม่เริ่มแต่งตั้งด้วยซ้ำ นี่คือสิ่งที่น่ากังวลว่าจะทำให้เราเสียโอกาสทางเศรษฐกิจไป”
ผลกระทบที่ตามมาจากการที่กฎหมายออกมา "ครึ่งๆ กลางๆ" เช่นนี้ ถือว่าน่ากังวล โดยเฉพาะกับภาคการท่องเที่ยว ซึ่ง ชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ รองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ระบุว่า เขากังวลผลกระทบในช่วงเวลากลางวันมากกว่ากลางคืนด้วยซ้ำ
“ลองนึกภาพนักท่องเที่ยวมาพักผ่อน ทานอาหารกลางวันคู่กับเครื่องดื่ม พอใกล้บ่ายสองโมง เขาต้องหยุดดื่มทันที ไม่อย่างนั้นก็จะเสี่ยงโดนร้องเรียน บุกจับ หรือจ่ายค่าปรับหนึ่งหมื่นบาท สถานการณ์นี้ทำให้เราเริ่มเห็นหลายสถานทูตออกประกาศเตือนนักท่องเที่ยวของตัวเองแล้ว หากปล่อยให้ภาพนี้ถูกสื่อสารออกไป ย่อมกลายเป็นภาพลักษณ์ที่ไม่ดีต่อการท่องเที่ยวไทย ทั้งๆ ที่เป็นสิ่งที่รัฐบาลกำลังพยายามผลักดัน และอาจสร้างความปั่นป่วนกังวลให้นักท่องเที่ยวต่อไป” ชนินทร์ กล่าว
เมื่อเกิด "สุญญากาศ" ทางกฎหมายขึ้น ทางออกที่ด่วนที่สุด ในตอนนี้ คือ รัฐบาลต้องรีบดำเนินการออกประกาศฉบับใหม่ เพื่อกำหนดเวลาขายที่เหมาะสมโดยเร็วที่สุด เพื่อยุติภาวะสับสนนี้
ฐานะพรรคการเมือง แม้จะอยู่ในช่วงปิดสมัยประชุม แต่ก็ต้องตอบสนองต่อปัญหานี้ ชนินทร์ รุ่งธนเกียรติ ในฐานะรองเลขาธิการพรรคเพื่อไทย ซึ่งได้รับเรื่องร้องเรียนจากผู้ประกอบการโดยตรง ระบุว่า เบื้องต้นได้ผลักดันและเรียกร้องผ่านสื่อมวลชนไปยังรัฐบาลให้เร่งจัดการแล้ว
"ผมก็เห็นทางโฆษกรัฐบาลเริ่มตอบสนองกลับมาแล้ว คิดว่าเมื่อทั้งเรา และฝ่ายค้านพรรคอื่นช่วยกันกระทุ้ง ก็น่าจะมีผลตอบรับที่ดีขึ้น ผมรับปากกับพี่น้องประชาชนได้เลยว่า หากยังไม่มีความคืบหน้าที่สมควรจะเป็น ผมจะติดตามเรื่องนี้อย่างใกล้ชิด และสื่อสารให้เกิดการดำเนินการโดยเร็วที่สุด"
ท่ามกลางภาวะสุญญากาศและความสับสนทางกฎหมาย การมาถึงของงาน “เมรัยไทยแลนด์ 2025” ในวันที่ 26-30 พ.ย. 68 ที่จัดโดยไทยรัฐ ในฐานะสื่อผู้นำของประเทศ ซึ่งผนึกกำลังกับพันธมิตรภาครัฐและเอกชน จึงเป็นความเคลื่อนไหวที่น่าจับตา แม้ผู้ประกอบการจะเผชิญความท้าทายจากกฎระเบียบที่ยังไม่ชัดเจน แต่ภาคเอกชนก็ยังเดินหน้าผลักดันอัตลักษณ์เมรัยไทยสู่เวทีโลก
...
“เมรัยไทยแลนด์ 2025” เป็นอีกหนึ่งงานเพื่อผลักดันเศรษฐกิจฐานราก ภายใต้แนวคิด “สังสรรค์อย่างสร้างสรรค์ เม้าเหล้า เม้าเบียร์ เม้ามันส์” โดยงานจัดขึ้นที่ Emsphere เข้าฟรีตลอดงานภายในงานพบกับ 5 โซนไฮไลต์ ทั้งร้านค้าเมรัยกว่า 50 แบรนด์, เวทีเสวนา, การแข่งขัน, คอนเสิร์ต และค็อกเทลบาร์ นอกจากนี้ ยังมีวันพิเศษ “Business Matching Day” (26 พ.ย.) สำหรับกลุ่มธุรกิจ HORECA เพื่อเจรจาต่อยอดธุรกิจ
งานนี้จึงสะท้อนความพยายามขับเคลื่อนเศรษฐกิจสร้างสรรค์ เศรษฐกิจฐานราก และเป็นอีกหนึ่งเสียงในการผลักดันกฎหมายสุราเพื่อให้อัตลักษณ์เมรัยไทยไปสู่เวทีโลก แม้จะอยู่ท่ามกลางสถานการณ์ที่รอความชัดเจนด้านนโยบายก็ตาม