New Economy หรือ เศรษฐกิจใหม่ คือการเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจครั้งใหญ่ที่เน้นการขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรม เทคโนโลยี และข้อมูล เป็นหัวใจหลัก แทนการพึ่งพาสินทรัพย์ทางกายภาพแบบดั้งเดิม
องค์ประกอบสำคัญของ New Economy ได้แก่ ธุรกิจดิจิทัล ฐานข้อมูลขนาดใหญ่ (Big Data) ปัญญาประดิษฐ์ (AI) และระบบอัตโนมัติ การเปลี่ยนแปลงนี้มีความสำคัญอย่างยิ่ง เพราะไม่เพียงแต่จะเพิ่มประสิทธิภาพและความคล่องตัวทางธุรกิจ แต่ยังเป็นกุญแจสำคัญในการยกระดับขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศ ให้สามารถก้าวทันโลกยุคดิจิทัลได้อย่างก้าวกระโดด
คุณณัฐพล เดชวิทักษ์ รองกรรมการผู้อำนวยการ บมจ. สหพัฒนพิบูล และกรรมการบริษัท โรงพยาบาลนวเวช อินเตอร์เนชั่นแนล ได้เผยถึงภาพรวมและบทบาทสำคัญของ "เศรษฐกิจใหม่" (New Economy) ที่กำลังเปลี่ยนโฉมหน้าประเทศไทย สู่ยุคแห่งการขับเคลื่อนด้วยนวัตกรรมและข้อมูลอย่างเต็มรูปแบบ
New Economy หัวใจของการก้าวกระโดดทางเศรษฐกิจ
คุณณัฐพลได้ให้คำจำกัดความของเศรษฐกิจใหม่ไว้อย่างชัดเจนว่า คือระบบเศรษฐกิจที่ไม่ได้พึ่งพาสินทรัพย์ทางกายภาพอย่างโรงงานหรือเครื่องจักรเป็นหลักอีกต่อไป แต่กลับเป็นเศรษฐกิจที่ขับเคลื่อนด้วยเทคโนโลยี นวัตกรรม และข้อมูล ซึ่งถือเป็นทรัพยากรที่มีค่าที่สุดแห่งยุค การเปลี่ยนแปลงนี้ส่งผลให้โครงสร้างแรงงานและอาชีพต้องปรับเปลี่ยนครั้งใหญ่ เป็นการเปิดโอกาสให้ธุรกิจรายย่อยและคนทั่วไปสามารถเข้าถึงการประกอบธุรกิจ เติบโต และขยายตัวได้อย่างรวดเร็ว
...
ด้วยศักยภาพที่มาพร้อมกับความยืดหยุ่นนี้เอง New Economy จึงเป็นกลไกสำคัญในการเสริมสร้างขีดความสามารถทางการแข่งขันของประเทศ และผลักดันให้ประเทศไทยสามารถก้าวขึ้นไปอีกขั้นในเวทีโลกได้อย่างแข็งแกร่ง
จุดแข็งและสิ่งที่ต้องเร่งพัฒนา สู่ระบบเศรษฐกิจใหม่
ในการเปลี่ยนผ่านสู่ยุคเศรษฐกิจใหม่ ประเทศไทยมีรากฐานที่แข็งแกร่งซึ่งสามารถนำมาต่อยอดได้อย่างดีเยี่ยม โดยคุณณัฐพลมองว่าจุดแข็งของไทยมีอยู่สามประการที่สัมพันธ์กับบริบทนี้อย่างยิ่ง ประกอบด้วย
- โครงสร้างพื้นฐานทางดิจิทัล ที่เรามีอยู่แล้ว ไม่ว่าจะเป็นโครงข่าย 5G ที่ครอบคลุมทั่วประเทศ รวมถึงระบบการชำระเงินแบบดิจิทัลที่ทันสมัย เช่น PromptPay และ QR Payment ต่าง ๆ
- การที่เรากำลังก้าวสู่การเป็น Medical Hub หรือผู้นำด้านการดูแลสุขภาพในภูมิภาค
- อุตสาหกรรมการท่องเที่ยว ที่ยังคงเป็นหัวใจสำคัญของประเทศ
อย่างไรก็ตาม การจะเติบโตอย่างยั่งยืนใน New Economy นั้น ประเทศไทยยังต้องเร่งพัฒนาในสี่ด้าน ได้แก่
- Digital Literacy ของประชาชน ซึ่งต้องพัฒนาให้มีความรู้ความเข้าใจในเชิงลึกมากกว่าการใช้งานโซเชียลมีเดียทั่วไป
- การปรับปรุงโครงสร้างการศึกษาและการวิจัย ให้มุ่งเน้นการสร้างความรู้ความเข้าใจด้านดิจิทัลและการสร้างนวัตกรรมที่สอดรับกับเศรษฐกิจใหม่
- การเปิดทางให้ผู้ประกอบการรายย่อย เข้าถึงแหล่งเงินทุนได้ง่ายขึ้น โดยสถาบันการเงินควรพิจารณาใช้ สินทรัพย์ที่ไม่มีตัวตน (Intangible Asset) เช่น สิทธิบัตร ทรัพย์สินทางปัญญา หรือ Credit Scoring มาเป็นหลักประกัน
- การปรับปรุงกฎหมายและกฎระเบียบ ที่ยังมีความซับซ้อนและซ้ำซ้อน เพื่อให้เกิดความคล่องตัวและยืดหยุ่นในการทำธุรกิจในยุคดิจิทัล
แผนขับเคลื่อนธุรกิจสหพัฒน์ฯ ด้วยนวัตกรรมตอบรับ New Economy
ในส่วนของ บมจ. สหพัฒนพิบูล ได้มีการประยุกต์ใช้ Digital Technology เข้ามาในการดำเนินงานอย่างต่อเนื่องและยาวนาน โดยบริษัทถือเป็นหนึ่งในผู้บุกเบิกการนำคอมพิวเตอร์มาใช้งานในประเทศไทยมาตั้งแต่แรกเริ่ม และได้นำเทคโนโลยีมาใช้ในการบริหารจัดการสินค้าคงคลังที่มีสินค้าหลากหลายนับหมื่นรายการอย่างมีประสิทธิภาพสูงสุด
ปัจจุบัน การทำงานของพนักงานขายได้ปรับเปลี่ยนสู่ระบบดิจิทัลอย่างเต็มรูปแบบ โดยใช้แท็บเล็ตในการจดและส่งคำสั่งซื้อจากร้านค้าไปยัง Central Warehouse ทันที ทำให้ขั้นตอนการออกใบแจ้งหนี้และการเตรียมขนส่งดำเนินไปได้อย่างรวดเร็ว ถูกต้อง และมีประสิทธิภาพสูงขึ้นอย่างมาก เนื่องจากทุกกระบวนการ "วิ่งอยู่บนอากาศ" ลดความซับซ้อนและขั้นตอนทางเอกสารที่ล่าช้าลง
นอกจากนี้ ในส่วนของธุรกิจโรงพยาบาลนวเวช ซึ่งเป็นโรงพยาบาลในเครือสหพัฒน์ฯ ก็ได้นำเทคโนโลยีมาใช้ในการดูแลสุขภาพของผู้ป่วยอย่างครบวงจร มีการพัฒนา Digital Health Platform และแอปพลิเคชันเพื่ออำนวยความสะดวกให้ผู้ป่วยสามารถดูแลข้อมูลสุขภาพตนเอง นัดหมายแพทย์ จัดการการเงินและการออกใบเสร็จได้ทั้งหมดบนมือถือ
...
สิ่งที่น่าจับตามองที่สุด คือการพัฒนาไปอีกขั้น ด้วยการนำปัญญาประดิษฐ์ (AI) เข้ามาช่วยสนับสนุนการทำงานของแพทย์ ในการตรวจวินิจฉัย การบันทึกข้อมูล และการเขียนรายงานอย่างเป็นระบบ ทำให้คุณหมอสามารถมีปฏิสัมพันธ์และโฟกัสกับคนไข้ได้อย่างเต็มที่ ขณะที่ AI ทำหน้าที่จัดการข้อมูลเบื้องหลังทั้งหมด ซึ่งเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนของการใช้เทคโนโลยีสร้างประสบการณ์การรักษาพยาบาลที่ดีที่สุดให้กับผู้ป่วย
ภาพ: กัมพล เลิศสิทธิศักดิ์