เวที THAIRATH FORUM 2025 The Next New Economy เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2568 เปิดเวทีแห่งอนาคตของเศรษฐกิจไทยชวนค้นหาโอกาสใหม่ทางเศรษฐกิจ ชวนพลิกวิกฤติ "สังคมสูงวัย" สู่ "เศรษฐกิจอายุยืนยาว" Longevity Economy

THAIRATH FORUM 2025: The Next New Economy เปิดเวทีแห่งอนาคตของเศรษฐกิจไทย ร่วมค้นหาโอกาสใหม่ใน
THAIRATH FORUM 2025: The Next New Economy เปิดเวทีแห่งอนาคตของเศรษฐกิจไทย ร่วมค้นหาโอกาสใหม่ใน "The Next New Economy"

ท่ามกลางวิกฤติโครงสร้างประชากรที่กำลังสั่นสะเทือนประเทศไทย เมื่อคนไทยมีอายุยืนยาวขึ้น แต่อัตราการเกิดใหม่กลับลดลงสวนทาง คำถามสำคัญคือ เราจะเปลี่ยน "สังคมสูงวัย" (Aged Society) ที่หลายคนมองว่าเป็นภาระ ให้กลายเป็น "เศรษฐกิจอายุยืนยาว" (Longevity Economy) เครื่องยนต์ตัวใหม่ขับเคลื่อนประเทศได้อย่างไร

...

วราวุธ ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา , ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และ นายแพทย์ตนุพล วิรุฬหการุญ ประธานคณะผู้บริหาร BDMS Wellness Clinic และ BDMS Wellness Resort ตามลำดับ
วราวุธ ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา , ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ และ นายแพทย์ตนุพล วิรุฬหการุญ ประธานคณะผู้บริหาร BDMS Wellness Clinic และ BDMS Wellness Resort ตามลำดับ

บทสรุปแนวคิดจาก 3 ผู้เชี่ยวชาญ ได้แก่ ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ, วราวุธ ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา, และ นายแพทย์ตนุพล วิรุฬหการุญ ประธานคณะผู้บริหาร BDMS Wellness Clinic และ BDMS Wellness Resort

วราวุธ ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา
วราวุธ ศิลปอาชา หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนา

สถานการณ์ปัจจุบัน ไทยเผชิญ "วิกฤติซ้อนวิกฤติ" เมื่อทบทวนภาพรวมเศรษฐกิจไทยในมิติ Longevity Economy พบว่าเรากำลังเผชิญความท้าทายที่ซับซ้อน

ท็อป วราวุธ ศิลปอาชา ฉายภาพในมุมมองสังคมว่า สถานการณ์ของไทยน่ากังวลกว่าที่คิด "ไทยไม่ได้แค่เข้าสู่ ‘สังคมสูงอายุสมบูรณ์แบบ’ แต่กำลังจะกลายเป็น ‘สังคมสูงอายุระดับสุดยอด’ (ประชากร 1 ใน 3 อายุเกิน 60) ในอีกไม่ถึง 10 ปีข้างหน้า"

“หนักกว่านั้นคือ เรากำลังเผชิญ ‘Double Crisis’ หรือวิกฤติซ้อน ทั้ง วิกฤติโครงสร้างประชากร และ ปัญหาสภาพภูมิอากาศ (Climate Change) นี่จึงเป็นวาระแห่งชาติที่ต้องมองให้ทะลุว่า ในวิกฤตินี้มีโอกาสใดซ่อนอยู่”

ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ วิเคราะห์ในมุมเศรษฐศาสตร์ว่า “แม้ระบบประกันสุขภาพถ้วนหน้า (บัตรทอง) ของไทยจะดีมาก ช่วยลดภาระค่าใช้จ่ายส่วนตัวของประชาชนจาก 34% เหลือเพียง 9% แต่ความสำเร็จนี้ก็มาพร้อมปัญหาใหญ่ 2 ข้อ ค่าใช้จ่ายที่โตเร็วกว่าเศรษฐกิจ สวัสดิการสุขภาพโตเฉลี่ย 4.53% ต่อปี ขณะที่ GDP โตไม่ถึง 2% และโครงสร้างประชากรที่พังทลาย โดยวัยทำงานลดลง ผู้สูงอายุเพิ่มขึ้น ในอีก 15 ปีข้างหน้า คนวัยทำงานเพียง 1.8 คน จะต้องดูแลผู้สูงอายุ 1 คน” ดร.ศุภวุฒิ ย้ำว่า ความท้าทายที่แท้จริงคือ "ผลิตภาพ (Productivity) เพราะ ไม่มีประเทศใดในโลกนี้ที่ประชาชนอยู่ในภาวะสูงอายุแล้วจะรักษาผลิตภาพให้โตได้ 2-3%" นี่คือโจทย์ที่ยากที่สุดของไทย”

...

นายแพทย์ตนุพล วิรุฬหการุญ (หมอแอมป์) พลิกมุมมองด้านสุขภาพว่า อย่าโฟกัสที่คำว่า "แก่" แต่ให้โฟกัสที่ "สุขภาพ" พร้อมเผยข้อมูลเชิงลึกที่น่าตกใจ โดย Life Span (อายุขัยเฉลี่ย) คนไทยเสียชีวิตเฉลี่ยอายุ 77 ปี และ Health Span (ช่วงเวลาที่มีสุขภาพดี) คนไทยอยู่ที่ 67 ปี นั่นหมายความว่า "พวกเราทุกคนมีแนวโน้มจะทรมานอีก 10 ปีก่อนจะเสียชีวิตด้วยโรค NCDs (เบาหวาน, หัวใจ, มะเร็ง ฯลฯ) ซึ่งคร่าชีวิตคนไทยถึง 77%”, “แม้เทคโนโลยีการแพทย์จะยืดเราให้ตายช้า แต่จะทำให้ทรมานมากขึ้น" ดังนั้น วิกฤติการเจ็บป่วยนี้จึงกลายเป็นโอกาสมหาศาลของธุรกิจการป้องกันหรือ Wellness

เมื่อโครงสร้างประชากรเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง ประเทศไทยมีความพร้อมรับมือมากน้อยแค่ไหน

ท็อป วราวุธ อธิบายปัญหาเชิงโครงสร้างที่ชัดเจนว่า "เมื่อคนเกิดน้อยลง แถมคุณภาพอาจไม่ได้มาตรฐาน จำนวนคนผลิตและจ่ายภาษีจะลดลง สวนทางกับจำนวนผู้สูงอายุที่รอรับสวัสดิการเพิ่มขึ้น เกิดภาวะ 'มีแต่คนแบมือ และไม่มีคนผลิตและจ่ายเลย'" หัวหน้าพรรคชาติไทยพัฒนาจึงเน้นย้ำว่า "ภาครัฐจึงต้องเร่งแก้ปัญหานี้ ด้วยนโยบายที่เน้นเสริมศักยภาพคนทุกวัย"

ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ
ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ ประธานสภาพัฒนาการเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ

...

ด้าน ดร.ศุภวุฒิ สายเชื้อ เผยว่า "มันไม่ใช่เรื่องของพร้อม มันคือเรื่องของว่าต้องทำ" โดยมี 2 สิ่งที่ต้องทำเร่งด่วน คือ 1. สร้างคนคุณภาพ เด็กเกิดน้อยต้องอัดฉีดคุณภาพสูงสุด และ 2. สร้าง Wellness ทำให้คนอายุเยอะสุขภาพดี ไม่ทรมานตอนแก่” 

"ปัญหาคือ ประเทศไทย ล้มเหลวในการควบคุม NCDs" ดร.ศุภวุฒิ ยกตัวอย่างว่า "ใน 100 คนที่เป็นโรคเบาหวาน รักษาและคุมอยู่มีเพียงแค่ 11 คน ส่วนความดันมีเพียง 16 คน" นี่คือปัญหาที่ท้าทายมาก ดังนั้น Keyword ของประเทศในการแก้ปัญหาเศรษฐกิจ คือ Wellness อย่างไม่ต้องสงสัย

หมอแอมป์ ชี้ให้เห็นโอกาสในวิกฤตินี้ว่า “เทรนด์โลกเปลี่ยนเป็น Proactive Healthcare (การป้องกันดีกว่ารักษา) ตลาด Wellness โลกกำลังโตระเบิด และคาดว่าจะแตะ 8.9 ล้านล้านเหรียญฯ ในปี 2571 โดยเฉพาะ 3 ธุรกิจดาวรุ่ง คือ Wellness Real Estate (อสังหาฯ เพื่อสุขภาพ), Mental Wellness (ดูแลสุขภาพจิต) และ Wellness Tourism (ท่องเที่ยวเชิงสุขภาพ)”

ข่าวดีที่หมอแอมป์นำมาฝากคือ "ประเทศไทยคืออันดับ 1 ของโลก (ปี 65-66) ในการเติบโตของ Wellness Tourism (โตถึง 28.4%)" แต่จุดอ่อนของเราคือ ยังขาดการวิจัย (เช่น สมุนไพรไทย) และขาดโครงสร้างพื้นฐานเพื่อการออกกำลังกาย (ฟุตบาท, เลนจักรยาน) ซึ่งหากแก้ไขตรงนี้ได้ ก็จะเป็นทางออกที่น่าสนใจมาก

รัฐบาล เอกชน และประชาชน ต้องทำอะไร เพื่อผลักดัน Longevity Economy ให้เป็นเศรษฐกิจใหม่ (New S-Curve) ของไทย

วราวุธ ศิลปอาชา เน้นย้ำว่า "ภาครัฐต้องเปลี่ยน Mindset" โดยต้องเลิกเน้นปริมาณ นักท่องเที่ยว แต่หันมาต่อยอดจุดแข็ง (Service Mind) เพื่อดึงดูด ‘นักท่องเที่ยวคุณภาพสูง’ ที่ใช้จ่ายเยอะ และที่สำคัญคือ ต้องเปลี่ยนวิธีคิดจากการ 'แก้ไข' (รักษา) มาเป็น 'ป้องกัน' (Preventive)" เพราะการที่ระบบรักษาพยาบาลเราดีเกินไป อาจทำให้คนไทยละเลยการป้องกันสุขภาพ”

...

ดร.ศุภวุฒิ เสนอทางออกเชิงอุตสาหกรรมว่า "ประเทศไทยต้องเลิกพยายามแข่งขันในอุตสาหกรรมที่เราสู้จีนไม่ได้ (เช่น แร่หายาก) และหันมาสร้าง 2 อุตสาหกรรมหลักที่เรามีศักยภาพ คือ การทำอาหารที่ดี (อาหารออร์แกนิก คุณภาพสูง) และการดูแลสุขภาพ (Wellness)" เมื่อนำอุตสาหกรรมอาหารคุณภาพ บวกกับภาคดูแลสุขภาพ ทั้งหมดนี่คือเครื่องยนต์เศรษฐกิจใหม่ของไทยในยุค Longevity

นายแพทย์ตนุพล วิรุฬหการุญ ประธานคณะผู้บริหาร BDMS Wellness Clinic และ BDMS Wellness Resort
นายแพทย์ตนุพล วิรุฬหการุญ ประธานคณะผู้บริหาร BDMS Wellness Clinic และ BDMS Wellness Resort

หมอแอมป์ ทิ้งท้ายกับเรื่อง Longevity Economy ไว้ว่า “ประเทศไทยต้องรีบสร้าง "ความเชื่อมั่น" โดยต้องทำ 2 ส่วนควบคู่กัน ไม่ว่าจะเป็น ภาพลักษณ์ต่อนักท่องเที่ยวรัฐต้อง PR หนักๆ ว่า ‘มาไทยแล้วสุขภาพดีขึ้น’ และเอกชนต้องลุย New S-Curve อย่าง ‘Healthy Eating’ (อาหารสุขภาพ) ที่คนยอมจ่ายแพงด้วย ภาพลักษณ์คนในประเทศ (สำคัญที่สุด) เราต้องสร้าง Thailand Wellness Ecosystem ที่แข็งแรง โดยมีหัวใจคือ ‘คนขายต้องแข็งแรงก่อน’ ต้องสร้างภาพลักษณ์ให้โลกเห็นว่าคนไทยสุขภาพดี แข็งแรง ยิ้มแย้มแจ่มใส เพื่อมุ่งสู่การเป็น ‘Blue Zone’ (ดินแดนคนอายุยืน) แห่งใหม่ของโลก และนี่คือ การ PR ที่มีประสิทธิภาพที่สุด"