เคยรู้สึกเหมือนกำลังจมอยู่ในทะเลงานไหม ภาพของผู้จัดการที่หัวหมุนกับการประชุมแบบไม่พัก อีเมลที่ไหลเข้ามาไม่หยุด และลูกทีมที่รอการอนุมัติทุกฝีก้าว คือ ภาพที่เราคุ้นเคยกันดี แต่เครื่องหมายของความขยันก็คือ ความยุ่ง และภาระงานที่เยอะมากมาย แต่ผลลัพธ์ที่ได้กลับไม่คุ้มค่าเหนื่อยเอาเสียเลย
ทางกลับกัน ลองจินตนาการถึงผู้นำอีกแบบหนึ่ง พวกเขาประชุมน้อยลง มอบหมายงานอย่างสบายใจ และมีตารางเวลาที่โล่งโปร่ง แต่ทีมกลับทำผลงานได้ดีเกินคาด สิ่งที่พวกเขาทำอยู่ คือ ความขี้เกียจ หรือการวางแผนให้ประสบผลสำเร็จ คนเหล่านี้มีความคิดอย่างไรบ้าง
คำตอบคือ "ศิลปะแห่งความเกียจคร้านโดยเจตนา หรือ Intentional Laziness” ไม่ใช่การไม่ทำงาน แต่คือการเลือกที่จะไม่ทำทุกอย่าง แล้วมุ่งใช้พลังงานไปกับสิ่งที่สำคัญที่สุดจริงๆ นี่คือ 5 เหตุผลที่ทำให้แนวทางสุดยูนีคนี้เวิร์คแบบสุดๆ
1. วัดกันที่ "ผลลัพธ์" ไม่ใช่ "ความยุ่ง"
ผู้นำสายชิลล์ไม่สนใจว่าตัวเองจะดูยุ่งแค่ไหน แต่แคร์ว่าผลลัพธ์เป็นอย่างไร ในขณะที่บางคนพยายามพิสูจน์ความทุ่มเทด้วยการอัดตารางประชุมที่แน่นเอี๊ยด หรือส่งอีเมลตอนเที่ยงคืน ผู้นำที่ฉลาดจะถามตัวเองเสมอว่า "อะไรคือสิ่งที่จะขับเคลื่อนทีมไปสู่ความสำเร็จได้จริงๆ"
พวกเขากล้าที่จะปฏิเสธวัฒนธรรม "ทำงานโชว์" (Performance Theater) อย่างการประชุมรายงานสถานะที่ไม่จำเป็น หรืองานเอกสารที่ไม่มีใครอ่าน โดยผลวิจัยจาก Visier ชี้ว่า พนักงานกว่า 83% ใช้เวลาไปกับงานที่ทำให้ดูยุ่ง โดยเกือบครึ่งหนึ่งใช้เวลามากกว่า 10 ชั่วโมงต่อสัปดาห์ไปกับมัน
2. สร้างทีมให้แกร่ง จนคุณ "ไม่จำเป็น"
ภาวะผู้นำที่แท้จริงคือการทำให้ตัวเองมีความสำคัญน้อยลง ไม่ใช่มากขึ้น ผู้นำที่เก่งจะไม่ทำตัวเป็นคอขวด แต่จะมอบหมาย "ความเป็นเจ้าของ" ไม่ใช่แค่ "งาน" ซึ่งแตกต่างกัน โดยการมอบหมายงาน คือการสั่งให้คนอื่นทำงานตามที่คุณคิด ส่วนการมอบความเป็นเจ้าของ คือการให้อำนาจและความรับผิดชอบในการตัดสินใจไปพร้อมกัน
...
เมื่อคุณให้เวลาฝึกฝนทีมในช่วงแรก แล้วถอยออกมาปล่อยให้พวกเขาได้โชว์ฝีมือ จะพบว่าทีมของคุณทำงานได้เร็วขึ้นและสำเร็จมากขึ้นโดยไม่ต้องรอคุณ
3. กล้าที่จะ "ตัด" สิ่งที่ไม่สำคัญทิ้งไป
เมื่อคุณตั้งใจจะทำงานให้น้อยลง คุณจะเฉียบคมในการมองเห็นว่าอะไรคือสิ่งที่ไม่จำเป็น ผู้นำที่ประสบความสำเร็จมักจะถามตัวเองเสมอว่า "ถ้าเราเลิกทำสิ่งนี้...จะมีอะไรพังไหม?" ปัจจุบันลองมองและสังเกตรอบตัว อาจจะมีอะไรมากมายที่สามารถตัดออกไปได้ เช่น รายงานประจำสัปดาห์ที่ไม่มีใครเคยเปิดอ่าน ขั้นตอนการอนุมัติที่ซ้ำซ้อนและเสียเวลา หรือโปรเจกต์ที่กินทรัพยากรแต่ไม่สร้างคุณค่า
แนวคิด Disagree and Commit ของ Jeff Bezos ที่ Amazon คือตัวอย่างที่ยอดเยี่ยม ความเร็วในการลงมือทำ สำคัญกว่าการรอให้ทุกอย่างสมบูรณ์แบบ 100%
4. จอง "เวลาว่าง" ให้สมองได้สร้างสรรค์
ไอเดียที่ดีที่สุดมักจะผุดขึ้นมาในช่วงเวลาที่เราไม่ได้ "ทำงาน" ผู้นำที่ฉลาดจะปกป้องช่วงเวลาว่างในปฏิทินของพวกเขาอย่างเข้มงวด เพื่อให้มีเวลาสำหรับคิดกลยุทธ์ สร้างสรรค์ และแก้ปัญหาที่ซับซ้อน
Jeff Weiner อดีตซีอีโอของ LinkedIn มีชื่อเสียงจากการบล็อก "เวลาว่าง" (Doing Nothing) ในตารางงานของเขา ซึ่งเป็นช่วงที่ไม่มีประชุม ไม่มีโทรศัพท์ เขาให้เครดิตว่าช่วงเวลานี้คือที่มาของการตัดสินใจทางกลยุทธ์ที่ดีที่สุดหลายๆ ครั้ง
5. เชื่อใจทีม แล้วปล่อยให้พวกเขาเฉิดฉาย
การบริหารแบบจุกจิก คือตัวทำลายความเชื่อมั่นที่ร้ายกาจที่สุด เมื่อคุณเข้าไปก้าวก่ายทุกการตัดสินใจ มันคือการส่งสัญญาณว่า "ฉันไม่เชื่อใจเธอ" และในไม่ช้า ทีมของคุณก็จะหยุดคิดริเริ่มแล้วรอคำสั่งจากคุณเพียงอย่างเดียว
ผู้นำที่มีประสิทธิภาพจะกำหนดเป้าหมายให้ชัดเจน จัดหาเครื่องมือที่จำเป็น แล้ว "หลีกทางให้" นี่ไม่ใช่การสละอำนาจ แต่คือการเสริมพลัง งานวิจัยจาก Deloitte พบว่าพนักงานที่รู้สึกได้รับความไว้วางใจ จะมีแรงจูงใจเพิ่มขึ้นถึง 260%!
ในโลกที่ยกย่องความ "ยุ่ง" การรู้จักยับยั้งชั่งใจอย่างมีกลยุทธ์คือข้อได้เปรียบที่ทรงพลังที่สุด ในขณะที่คนอื่นหมดแรงไปกับการพยายามทำทุกอย่าง ผู้นำที่ฉลาดจะเก็บพลังงานไว้สำหรับสิ่งที่สำคัญจริงๆ
ดังนั้น ครั้งหน้าที่ใครมองว่าความนิ่งของคุณคือความขี้เกียจ อาจเป็นคำตอบว่าคุณกำลังมาถูกทาง เพราะกุญแจสำคัญของการประสบความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่กว่า อาจเริ่มต้นจากการ "ทำให้น้อยลง" อย่างชาญฉลาด
ข้อมูล : forbes