ช่วงนี้หลายคนอาจได้ยินคำว่าบำนาญประกันสังคมสูตร CARE บ่อยขึ้น และสงสัยว่าคืออะไร นี่คือสูตรคำนวณเงินบำนาญชราภาพแบบใหม่ที่สำนักงานประกันสังคมกำลังดำเนินการเพื่อนำมาใช้เต็มรูปแบบในปี 2574 เป็นต้นไป โดยสูตรใหม่นี้ต่างจากสูตรเดิมอย่างไร ใครได้ประโยชน์บ้าง

บำนาญประกันสังคมสูตร CARE คืออะไร

บำนาญประกันสังคมสูตร CARE (Career Average Revalued Earnings) เป็นการเฉลี่ยค่าจ้างตลอดช่วงเวลาการทำงานที่ปรับเป็นค่าเงินปัจจุบัน แทนที่สูตรเดิมที่เฉลี่ยค่าจ้าง 60 เดือนสุดท้าย การเปลี่ยนแปลงนี้สอดคล้องกับแนวทางปฏิบัติสากล และตั้งใจให้เป็นธรรมมากขึ้นและสมดุลกับประวัติการส่งเงินสมทบ โดยรวมแล้วฐานค่าจ้างจะใกล้เคียงเดิม แต่ผลลัพธ์ของแต่ละบุคคลจะแตกต่างกันไป

นอกจากนี้ ยังมีการกำหนดมาตรการคุ้มครอง สำหรับผู้ที่รับบำนาญอยู่และผู้ที่ใกล้เกษียณ โดยจะมีการชดเชยส่วนต่างเป็นระยะเวลา 5 ปี เพื่อให้ผู้ประกันตนที่อาจคาดการณ์บำนาญไว้ตามสูตรเดิมไม่ได้รับผลกระทบมากนัก

การคำนวณบำนาญประกันสังคมสูตร CARE ต่างจากสูตรเดิมอย่างไร

สูตรเดิม

  • ฐานค่าจ้างในการคำนวณ: ใช้ค่าจ้างเฉลี่ย 60 เดือนสุดท้าย ก่อนความเป็นผู้ประกันตนสิ้นสุดลง
  • การนับระยะเวลาสมทบ: คิดเป็นปี (ไม่คิดเศษเดือน) หากส่งสมทบเกิน 15 ปี (180 เดือน) จะเพิ่มอัตราบำนาญปีละ 1.5%
  • หลักการ: เน้นที่ค่าจ้างช่วงท้าย 
  • ผลกระทบต่อ ม.39 (ผู้ประกันตนโดยสมัครใจ): บำนาญอาจลดลงอย่างมาก หากเปลี่ยนจาก ม.33 ที่ฐานเงินเดือนสูงเป็น ม.39 ที่ฐานเงินเดือนคงที่ (4,800 บาท) ในช่วง 60 เดือนสุดท้าย

...

ภาพจาก iStock
ภาพจาก iStock


สูตรใหม่ (CARE)

  • ฐานค่าจ้างในการคำนวณ: ใช้ค่าจ้างเฉลี่ย ตลอดทุกเดือนที่ส่งเงินสมทบ ตั้งแต่เริ่มทำงานจนเกษียณ โดยจะปรับค่าจ้างในอดีตให้เป็นค่าเงินปัจจุบัน ก่อนนำมาคำนวณ
  • การนับระยะเวลาสมทบ: นับเศษเดือนด้วย ทำให้ได้อัตราบำนาญเพิ่มขึ้นทุกเดือนที่สมทบเกิน 15 ปี (เดือนละ 0.125%)
  • หลักการ: เน้นความสม่ำเสมอในการส่งสมทบตลอดชีวิต "ส่งมากได้มาก ส่งน้อยได้ตามสัดส่วน"
  • ผลกระทบต่อ ม.39 (ผู้ประกันตนโดยสมัครใจ): ได้รับบำนาญสูงขึ้นตามสัดส่วนการส่งจริง เพราะนำค่าจ้างเฉลี่ยตลอดการทำงาน (ทั้ง ม.33 และ ม.39) มาคำนวณ โดยปรับค่าเงินในอดีตให้เป็นปัจจุบัน

ใครได้รับประโยชน์จากบำนาญประกันสังคมสูตร CARE บ้าง

ทั้งนี้ ผลลัพธ์สำหรับผู้ประกันตนมาตรา 39 และมาตรา 33 แต่ละคนจะแตกต่างกัน ขึ้นอยู่กับรูปแบบการเปลี่ยนแปลงหรือการเติบโตของค่าจ้างตลอดช่วงที่ส่งเงินสมทบ สามารถแบ่งได้เป็นดังนี้

A. กลุ่มที่ได้รับบำนาญเพิ่มขึ้น

  • ผู้ประกันตนที่เปลี่ยนมาเป็น มาตรา 39 ในช่วงใกล้เกษียณ
  • ผู้ประกันตนที่มี ค่าจ้างสูงในอดีต แต่ค่าจ้างต่ำลงในช่วงใกล้เกษียณ
  • ผู้ที่ส่งเงินสมทบครบ 15 ปี แล้ว ออกไปทำงานนอกระบบเป็นเวลานาน

B. กลุ่มที่ได้รับบำนาญลดลง

  • ผู้ประกันตนที่มีค่าจ้างต่ำในอดีต แต่ค่าจ้างสูงขึ้นกะทันหัน ในช่วงใกล้เกษียณ

C. กลุ่มที่ได้รับบำนาญเท่าเดิมหรือใกล้เคียงเดิม

  • ผู้ประกันตนที่ค่าจ้างเต็มเพดาน 15,000 บาท เป็นส่วนใหญ่ จะได้รับบำนาญเท่าเดิม
  • ผู้ประกันตนมาตรา 33 ส่วนใหญ่จะได้บำนาญใกล้เคียงเดิม เนื่องจากมีการปรับค่าจ้างที่นำมาเฉลี่ยให้เป็นค่าเงินปัจจุบัน ณ วันที่เกิดสิทธิรับบำนาญ

ในส่วนของผู้ที่อาจคาดการณ์บำนาญตามสูตรเดิมไว้แล้ว จะมีมาตรการคุ้มครอง (Grandfathering Clause) สำหรับผู้รับบำนาญและผู้ที่ใกล้เกษียณ ดังนี้

สำหรับผู้รับบำนาญอยู่ก่อนแล้ว

  • ทุกคนจะได้รับการคำนวณบำนาญใหม่ตามสูตร CARE
  • หากคำนวณบำนาญได้ “เพิ่มขึ้น” จะได้รับการปรับเพิ่มบำนาญโดยอัตโนมัติ
  • หากคำนวณบำนาญได้ “ลดลง” จะได้รับบำนาญเท่าเดิม (ไม่มีใครถูกปรับลดลง)

ภาพจาก iStock
ภาพจาก iStock

...


สำหรับผู้ใกล้เกษียณ (ช่วงเปลี่ยนผ่าน 5 ปี)

  • ผู้ที่เกษียณระหว่างปี 2569 – 2573 จะมีการคำนวณบำนาญเปรียบเทียบทั้งสูตรเดิมและสูตร CARE
  • หากสูตร CARE ได้มากกว่า จะได้รับบำนาญตามสูตร CARE
  • หากสูตรเดิมได้มากกว่า จะได้รับบำนาญตามสูตร CARE พร้อมการชดเชยส่วนต่างตลอดชีวิต

อัตราการชดเชยส่วนต่างสำหรับผู้ที่เกษียณในช่วงเปลี่ยนผ่าน 5 ปี จะลดลงตามปี ดังนี้

  • ปี 2568 - 2569: ใช้สูตรเดิม 100%
  • ปี 2570: ใช้สูตรผสม เก่า 80% : ใหม่ (CARE) 20%
  • ปี 2571: ใช้สูตรผสม เก่า 60% : ใหม่ (CARE) 40%
  • ปี 2572: ใช้สูตรผสม เก่า 40% : ใหม่ (CARE) 60%
  • ปี 2573: ใช้สูตรผสม เก่า 20% : ใหม่ (CARE) 80%
  • ปี 2574 เป็นต้นไป: ใช้สูตรใหม่ CARE 100%

มาตรการชดเชยนี้จำกัดเฉพาะผู้ที่ใกล้เกษียณภายใน 5 ปีเท่านั้น เนื่องจากหากชดเชยต่อไปเรื่อยๆ จะส่งผลกระทบต่อความยั่งยืนของกองทุนและเพิ่มภาระของคนรุ่นหลัง