เคยไหมที่รู้สึกว่าควรจะเปลี่ยนงานเพื่ออัปเงินเดือนและความก้าวหน้า แต่พอเห็นข่าวเศรษฐกิจและ AI ที่กำลังมาแรง ก็ใจฝ่อจนอยากจะกอดเก้าอี้ที่นั่งอยู่ให้แน่นๆ
ทั้งหมด คือ ความรู้สึกที่คุณไม่ได้รู้สึกคนเดียว เพราะ ตอนนี้เกิดเทรนด์ใหม่ที่เรียกว่า "Job Hugging" หรือการกอดงานเดิมไว้แน่นๆ กำลังมาแรงตีคู่กับ “Job Hopping” หรือการเปลี่ยนงานเพื่อความก้าวหน้าในอาชีพ เพราะผู้คนรู้สึกว่าการขยับขยายมีความเสี่ยงสูงเกินไป
แต่คำถามสำคัญคือ การอยู่เฉยๆ เป็นกลยุทธ์ที่ฉลาด หรือเรากำลังปล่อยให้ "ความกลัว" มาปิดกั้นโอกาสเติบโตในระยะยาวกันแน่ มาลองชั่งน้ำหนักกันชัดๆ ผ่าน 5 ปัจจัยสำคัญดังต่อไปนี้ด้วยกัน
"กอดงานเดิม" Vs. "หางานใหม่" แบบไหนตอบโจทย์กว่ากัน
1. เงินเดือน ที่อยากรวยเร็วต้องกล้าเสี่ยง
การหางานใหม่ : ข้อมูลยังคงยืนยันว่าการย้ายงานคือทางลัดสู่การอัปเงินเดือน โดยทั่วไปแล้ว คนย้ายงานมักได้เงินเดือนเพิ่มขึ้น 10% - 20% ในขณะที่การรอขึ้นเงินเดือนในบริษัทเดิมเฉลี่ยอยู่ที่ 3% - 5% เท่านั้น ในระยะยาว ส่วนต่างนี้อาจหมายถึงเงินเก็บที่หายไปหลายแสนบาทเลยทีเดียว
การกอดงานเดิม: แม้จะรู้สึกปลอดภัย แต่ก็เหมือนกับการยอมแลก "โอกาสสร้างรายได้ที่มากกว่า" กับ "ความมั่นคงระยะสั้น"
2. ความก้าวหน้า อยากโตไวต้องออกไปเจอโลก
หางานใหม่ : การเปลี่ยนงานแต่ละครั้งมักมาพร้อมกับตำแหน่งที่สูงขึ้นและความท้าทายใหม่ๆ เป็นเหมือนทางด่วนที่ช่วยให้คุณแซงหน้าการเมืองในออฟฟิศและขั้นตอนการโปรโมทที่ยาวนาน
กอดงานเดิม: มีความเสี่ยงที่จะเติบโตช้า โดยเฉพาะเมื่อหลายบริษัทกำลังรัดเข็มขัดและลดงบประมาณการฝึกอบรม ทำให้การไต่เต้าภายในองค์กรยิ่งท้าทายขึ้นไปอีก
...
3. การพัฒนาทักษะ อย่าปล่อยให้ตัวเอง "สกิลนิ่ง"
หางานใหม่ (ทักษะพุ่ง): การได้เจอกับสภาพแวดล้อมและปัญหาที่หลากหลาย ทำให้คุณได้เรียนรู้ทักษะใหม่ๆ และปรับตัวได้เก่งขึ้นโดยอัตโนมัติ ซึ่งจำเป็นอย่างยิ่งในยุคที่เทคโนโลยีอย่าง AI เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว
กอดงานเดิม: เสี่ยงต่อภาวะ "ทักษะหยุดนิ่ง" เพราะความคุ้นเคยกับงานเดิมๆ อาจทำให้คุณตามโลกไม่ทันและลดความน่าสนใจในตลาดแรงงานลง
4. ความมั่นคง สิ่งที่เห็นอาจไม่ใช่สิ่งที่เป็น
หางานใหม่ (มั่นคงระยะยาว): แม้จะดูเสี่ยงในตอนแรก แต่การมีประสบการณ์จากหลายบริษัทและมีเครือข่ายที่กว้างขวาง จะสร้าง ความมั่นคงที่แท้จริง ในระยะยาว เพราะคุณจะกลายเป็นคนที่ยืดหยุ่นและเป็นที่ต้องการของตลาดอยู่เสมอ
กอดงานเดิม: ความรู้สึกปลอดภัยอาจเป็นแค่ภาพลวงตา เพราะความภักดีต่อองค์กรไม่ได้การันตีว่าคุณจะไม่ถูกเลิกจ้างในวันที่บริษัทต้องปรับโครงสร้าง
5. มุมมองของนายจ้าง จังหวะคือทุกสิ่ง
ความสมดุล คือ คำตอบ นายจ้างยุคใหม่เข้าใจว่าคนเก่งย่อมมองหาการเติบโต การเปลี่ยนงานทุกๆ 2-4 ปี ถือเป็นจังหวะที่ลงตัวที่สุด เพราะมันแสดงให้เห็นถึงความมุ่งมั่นและความทะเยอทะยานของคุณ
ข้อควรระวัง การอยู่นานเกินไปโดยไม่มีความก้าวหน้าอาจทำให้คุณดูเป็นคน "พอใจอะไรง่ายๆ" ในขณะที่การเปลี่ยนงานถี่เกินไป (น้อยกว่า 2 ปี) ก็อาจถูกมองว่าไม่มีความอดทน
บทสรุปของเรื่องนี้ คือ “ความกล้าอย่างมีกลยุทธ์” อาจเป็นผู้ชนะ เพราะถึงแม้ว่าเทรนด์ "Job Hugging" จะมาแรงเพราะความกลัว แต่ข้อมูลทั้งหมดชี้ชัดว่า การเปลี่ยนงานใหม่อย่างมีกลยุทธ์ยังคงเป็นกลยุทธ์ที่ให้ผลตอบแทนดีที่สุดในระยะยาว ทั้งในแง่ของรายได้ ความก้าวหน้า และความมั่นคงที่แท้จริง
หัวใจสำคัญไม่ใช่การ "กลัว" จนไม่กล้าทำอะไรหรือ "กล้า" แบบไม่คิด แต่คือการ "เลือกจังหวะ" ที่เหมาะสมที่สุด แนวทางที่ดีที่สุดคือ การพัฒนาตัวเองให้เฉียบคม ในตำแหน่งปัจจุบัน (โดยเฉพาะทักษะด้าน AI) การเปิดหูเปิดตา มองหาโอกาสดีๆ อยู่เสมอ และตัดสินใจก้าวต่อไปอย่างรอบคอบ โดยใช้กลยุทธ์ นำความกลัว