การเมืองไทยเดินทางมาถึงจุดเปลี่ยนครั้งสำคัญอีกครั้ง เมื่อวันที่ 29 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา ศาลรัฐธรรมนูญมีคำวินิจฉัยให้ นางสาวแพทองธาร ชินวัตร พ้นจากตำแหน่งนายกรัฐมนตรี จากกรณีคลิปการสนทนากับสมเด็จอัครมหาเสนาบดีเดโช ฮุน เซน ประธานวุฒิสภาแห่งราชอาณาจักรกัมพูชา คำตัดสินดังกล่าวส่งผลให้คณะรัฐมนตรีทั้งคณะต้องสิ้นสุดลง และนำมาสู่กระบวนการสรรหานายกรัฐมนตรีคนที่ 32 ของประเทศไทย ซึ่งทุกสายตาต่างจับจ้องไปยังรัฐสภา ในการประชุมวาระพิเศษที่จะเป็นผู้ชี้ชะตาว่าใครจะก้าวขึ้นมาเป็นผู้นำรัฐนาวาคนต่อไป

จากกรณีนี้ มีขั้นตอนการเลือกนายกรัฐมนตรีตามรัฐธรรมนูญที่กำหนดไว้ โดยกระบวนการเลือกนายกรัฐมนตรีนั้นมีขั้นตอนที่ชัดเจนตามที่รัฐธรรมนูญแห่งราชอาณาจักรไทย พุทธศักราช 2560 กำหนดไว้ ซึ่งสามารถสรุปเป็นลำดับได้ดังนี้

ขั้นตอนการโหวตนายกรัฐมนตรี คนที่ 32

  • ขั้นตอนที่ 1 การเสนอชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรี 

กระบวนการจะเริ่มต้นในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร โดยเป็นไปตาม มาตรา 159 ของรัฐธรรมนูญ ซึ่งกำหนดให้พรรคการเมืองสามารถเสนอชื่อบุคคลที่จะดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีได้ แต่มีเงื่อนไขสำคัญ คือ ต้องเป็นบุคคลในบัญชีรายชื่อ โดยผู้ที่ถูกเสนอชื่อต้องเป็นบุคคลที่พรรคการเมืองได้แจ้งรายชื่อไว้ต่อคณะกรรมการการเลือกตั้ง (กกต.) ตั้งแต่ก่อนการเลือกตั้ง ว่าเป็นบุคคลที่พรรคจะสนับสนุนให้เป็นนายกรัฐมนตรี หรือที่เรียกกันว่า "แคนดิเดตนายกฯ"

เงื่อนไขของพรรคการเมือง พรรคที่จะเสนอชื่อแคนดิเดตได้นั้น จะต้องมีจำนวนสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.) ตั้งแต่ 25 คนขึ้นไป ตามที่ระบุไว้ใน มาตรา 88 ซึ่งปัจจุบัน มีพรรคการเมืองที่เข้าเกณฑ์และมีรายชื่อแคนดิเดตนายกรัฐมนตรีที่ยังคงมีคุณสมบัติครบถ้วน รวม 5 รายชื่อ จาก 4 พรรคการเมือง ดังนี้

...

พรรคเพื่อไทย: นายชัยเกษม นิติสิริ

พรรครวมไทยสร้างชาติ: พล.อ. ประยุทธ์ จันทร์โอชา และนายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค

พรรคภูมิใจไทย: นายอนุทิน ชาญวีรกูล

พรรคประชาธิปัตย์: นายจุรินทร์ ลักษณวิศิษฏ์

  • ขั้นตอนที่ 2 การรับรองจากสมาชิกสภาผู้แทนราษฎร (สส.)

เมื่อมีการเสนอชื่อบุคคลใดบุคคลหนึ่งขึ้นมาแล้ว จะต้องมี สส. ให้การรับรองรายชื่อนั้น ไม่น้อยกว่า 1 ใน 10 ของจำนวน สส. ทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ หรือคิดเป็นจำนวนอย่างน้อย 50 คน (จากจำนวน สส. ปัจจุบัน 492 คน) เพื่อให้สามารถนำชื่อดังกล่าวเข้าสู่กระบวนการพิจารณาให้ความเห็นชอบของสภาต่อไป

  • ขั้นตอนที่ 3 การลงมติในที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎร

ขั้นตอนที่สำคัญที่สุดในการชี้ขาดตำแหน่งผู้นำประเทศ โดยมีรายละเอียดดัง คือ การลงมติจะเป็นไปอย่างเปิดเผยและโปร่งใส ด้วยวิธีการขานชื่อ สส. เรียงตามลำดับตัวอักษร ให้ลุกขึ้นกล่าวว่าจะ "เห็นชอบ" "ไม่เห็นชอบ" หรือ "งดออกเสียง" ต่อชื่อบุคคลที่ถูกเสนอเป็นนายกรัฐมนตรี

ผู้ที่จะได้รับเลือกให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีคนที่ 32 จะต้องได้รับคะแนนเสียง "เห็นชอบ" มากกว่ากึ่งหนึ่งของจำนวน สส. ทั้งหมดเท่าที่มีอยู่ จากจำนวน สส. ปัจจุบัน 492 คน เสียงที่ต้องการคือ 247 เสียงขึ้นไป

  • ขั้นตอนที่ 4 การทูลเกล้าฯ เพื่อทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ แต่งตั้ง

หลังจากที่ประชุมสภาผู้แทนราษฎรมีมติเห็นชอบบุคคลใดเป็นนายกรัฐมนตรีแล้ว นายวันมูหะมัดนอร์ มะทา ในฐานะประธานสภาผู้แทนราษฎรปัจจุบัน จะเป็นผู้นำรายชื่อบุคคลดังกล่าวขึ้นทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวาย เพื่อทรงมีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ แต่งตั้งให้ดำรงตำแหน่งนายกรัฐมนตรีอย่างเป็นทางการต่อไป

กระบวนการทั้งหมดนี้คือเส้นทางสู่ทำเนียบรัฐบาลของนายกรัฐมนตรีคนใหม่ ซึ่งต้องอาศัยการรวบรวมเสียงสนับสนุนจากพรรคการเมืองต่างๆ ในสภาผู้แทนราษฎร ท่ามกลางสถานการณ์การเมืองที่ยังคงมีความไม่แน่นอนสูง การเจรจาต่อรองและการจัดตั้งขั้วอำนาจใหม่จะเป็นปัจจัยสำคัญที่จะกำหนดโฉมหน้าของรัฐบาลและทิศทางของประเทศไทยในอนาคตอันใกล้นี้