นับถอยหลังอีกไม่กี่เดือนก็จะเข้าสู่สิ้นปี และเมื่อถึงต้นปีก็จะเข้าสู่เทศกาลเสียภาษีแล้ว ดังนั้นจึงควรเตรียมตัวให้พร้อมสำหรับการวางแผนลดหย่อนภาษีปี 2568 ไว้ตั้งแต่เนิ่นๆ ซึ่งมีหลายรายการที่นำมาใช้ลดหย่อนภาษีเพิ่มเติมได้
ทั้งนี้ ประชาชนไทยทุกคนที่มีรายได้พึงประเมินถึงเกณฑ์ขั้นต่ำ ซึ่งหมายถึง เงินได้ที่กฎหมายกำหนดให้ต้องนำมาคำนวณภาษี เช่น เงินได้จากการทำงาน (เงินเดือน, ค่าจ้าง) หรือเงินได้จากแหล่งอื่นๆ (ดอกเบี้ย, เงินปันผล, ค่าเช่า, ธุรกิจ ฯลฯ) มีหน้าที่ต้องยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยแบ่งเกณฑ์ตามสถานะโสดและสมรส โดยมีรายละเอียดดังนี้
คนโสด
- มีรายได้จากเงินเดือน 120,000 บาทต่อปี
- มีรายได้ประเภทอื่นๆ ที่ไม่ใช่เงินเดือน 60,000 บาทต่อปี
คนมีคู่
- มีรายได้จากเงินเดือน 220,000 บาทต่อปี
- มีรายได้ประเภทอื่นๆ ที่ไม่ใช่เงินเดือน 120,000 บาทต่อปี
ค่าลดหย่อนภาษีปี 2568 มีอะไรบ้าง
สิ่งที่นำมาเป็นค่าลดหย่อนภาษีปี 2568 แบ่งออกเป็น 4 กลุ่ม ดังนี้
กลุ่มที่ 1 ค่าลดหย่อนภาษีส่วนตัวและครอบครัว
- ค่าลดหย่อนส่วนตัว 60,000 บาท โดยไม่มีเงื่อนไขใดๆ
- ค่าลดหย่อนคู่สมรส 60,000 บาท ต้องเป็นคู่สมรสที่จดทะเบียนถูกต้องตามกฎหมาย และคู่สมรสต้องไม่มีรายได้
- ค่าลดหย่อนฝากครรภ์และคลอดบุตร ไม่เกิน 60,000 บาท
- ค่าลดหย่อนภาษีบุตร 30,000 บาท (เพิ่มอีก 30,000 บาท สำหรับบุตรคนที่ 2 ขึ้นไป)
- ค่าเลี้ยงดูพ่อแม่ คนละ 30,000 บาท
- ค่าเลี้ยงดูผู้พิการ/ทุพพลภาพ คนละ 60,000 บาท
...
กลุ่มที่ 2 ค่าลดหย่อนภาษีกลุ่มประกัน และการลงทุน
- ลดหย่อนเงินประกันสังคมไม่เกิน 9,000 บาท
- ลดหย่อนประกันสุขภาพบิดามารดา ไม่เกิน 15,000 บาท
- ลดหย่อนเบี้ยประกันชีวิตและประกันสุขภาพ รวมกันไม่เกิน 100,000 บาท
- กองทุน PVD 15% ของค่าจ้าง ไม่เกิน 500,000 บาท
- กองทุนสงเคราะห์ครูฯ ไม่เกิน 500,000 บาท
- กบข. ไม่เกิน 500,000 บาท
- ลดหย่อนกองทุน RMF ไม่เกิน 500,000 บาท
- ลดหย่อนกองทุน SSF ไม่เกิน 200,000 บาท
- ลดหย่อนกองทุน Thai ESG ลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 30% ของเงินได้พึงประเมิน แต่ไม่เกิน 300,000 บาท
- ลดหย่อนกองทุน ThaiESGX (ที่โยกมาจาก LTF) ไม่เกิน 300,000 บาท แต่ไม่เกิน 30% จากรายได้
สำหรับกลุ่มค่าลดหย่อนประกันชีวิตและการลงทุนในการวางแผนเกษียณ ได้แก่ RMF, SSF, PVD, กบข., กอช., กองทุนสงเคราะห์ครูเอกชน และประกันชีวิตแบบบำนาญ เมื่อรวมกันทั้งหมด ต้องไม่เกิน 500,000 บาท
กลุ่มที่ 3 ค่าลดหย่อนภาษีกลุ่มเงินบริจาค
- กลุ่มการศึกษา/กีฬา/มูลนิธิด้านการแพทย์และการสาธารณสุข 2 เท่าของเงินบริจาค (ตาม พ.ร.ฎ. 771 พ.ศ. 2566) ไม่เกิน 10% ของเงินได้ หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน (สำหรับการบริจาคผ่านระบบ e-Donation เท่านั้น)
- บริจาคสถานพยาบาลของรัฐ 2 เท่าของเงินบริจาค ไม่เกิน 10% ของเงินได้ หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน
- บริจาคทั่วไปตามที่จ่ายจริงไม่เกิน 10% ของเงินได้ หลังหักค่าใช้จ่ายและค่าลดหย่อน
- พรรคการเมือง ไม่เกิน 10,000 บาท
กลุ่มที่ 4 ค่าลดหย่อนกลุ่มกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐ
- ติดตั้ง Solar Rooftop ในบ้านลดหย่อนสูงสุด 200,000 บาท เพื่อส่งเสริมการใช้พลังงานสะอาด และลดการสร้างมลพิษ โดยมอบสิทธิประโยชน์ทางภาษีให้แก่บุคคลธรรมดาที่ลงทุนติดตั้งโซลาร์เซลล์ มีผลบังคับใช้ไปจนถึงวันที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2570
- E-Receipt 2.0 โครงการกระตุ้นเศรษฐกิจของรัฐบาลที่ให้ผู้เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา ไม่รวมถึงห้างหุ้นส่วนสามัญหรือคณะบุคคล สามารถจับจ่ายซื้อสินค้าและบริการตามเงื่อนไขที่ได้จ่ายจริง แต่ไม่เกิน 50,000 บาท สามารถนำมาลดหย่อนภาษีได้
- ลดหย่อนดอกเบี้ยที่อยู่อาศัย ไม่เกิน 100,000 บาท
- ลดหย่อนค่าสร้างบ้านใหม่ ไม่เกิน 100,000 บาท
ทั้งนี้ ค่าลดหย่อนภาษีจากการติดตั้ง Solar Rooftop เป็นมาตรการใหม่ที่ภาครัฐเพิ่งได้ทำการอนุมัติ โดยเงื่อนไข 4 ข้อที่ควรรู้ก่อนนำไปใช้ลดหย่อนภาษี 2568 คือ
...
1. ผู้ได้รับสิทธิ์ต้องเป็นบุคคลธรรมดาเท่านั้น ต้องเป็น “บุคคลธรรมดา” ที่มีเงินได้ และต้องยื่นภาษีตามประมวลรัษฎากรเท่านั้น ไม่ว่าจะเป็นพนักงานประจำ ฟรีแลนซ์ หรือผู้ประกอบอาชีพอิสระก็ตาม โดยไม่สามารถใช้สิทธิ์ในนามของบริษัทหรือห้างหุ้นส่วนนิติบุคคลได้
2. สถานที่ติดตั้งต้องเป็นบ้านที่ตนเองอยู่อาศัยเท่านั้น ซึ่งอาจจะเป็นบ้านเดี่ยว ทาวน์โฮม หรืออาคารที่พักอาศัยประเภทอื่นๆ โดยผู้ใช้สิทธิ์จะต้องเป็นเจ้าของกรรมสิทธิ์ในบ้านหลังนั้น หรือเป็นผู้ครอบครองบ้านในฐานะผู้เช่าที่มีหลักฐานชัดเจน และใช้บ้านหลังดังกล่าวเป็นที่อยู่อาศัยหลักของตนเอง
3. เอกสารสำคัญที่ต้องมี ได้แก่ ใบกำกับภาษีแบบเต็มรูป (Full Tax Invoice) และใบเสร็จรับเงิน ที่ระบุรายละเอียดค่าติดตั้ง และค่าอุปกรณ์โซลาร์เซลล์จากผู้ประกอบการที่จดทะเบียนภาษีมูลค่าเพิ่มอย่างถูกต้อง
4. ช่วงเวลาที่ต้องติดตั้ง และชำระเงินให้เรียบร้อยภายในปีภาษีนั้นๆ กล่าวคือ หากต้องการยื่นลดหย่อนสำหรับปีภาษี 2568 ก็จะต้องติดตั้ง และจ่ายเงินให้เรียบร้อย ในช่วงระหว่างวันที่ 1 มกราคม 2568 - 31 ธันวาคม 2568
ที่มา : ธนาคารกรุงศรี, Kept by Krungsri