รู้หรือไม่ทำไมพนักงานบางคนถึงเติบโตในสายอาชีพได้เร็วกว่าคนอื่น สิ่งเหล่านี้อาจไม่ได้ขึ้นอยู่กับใบปริญญา ประสบการณ์ หรือตำแหน่งงานที่ว่างอยู่ หัวใจสำคัญที่ขับเคลื่อนความก้าวหน้าอย่างแท้จริงคือ "วิธีคิด" ที่คุณมีต่อทีม หัวหน้า และหน้าที่ของตัวเอง

วิทยาศาสตร์ ด้านจิตวิทยาได้ค้นพบว่า “คนที่ประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วมีรูปแบบความคิดบางอย่างที่แตกต่างออกไป และ ทัศนคติเหล่านี้สามารถ "ฝึกฝน" และ "สร้างขึ้นใหม่ได้" ทั้งหมดนี้คือ 3 การปรับเปลี่ยนทัศนคติที่เรียบง่ายแต่ทรงพลัง ซึ่งจะช่วยให้คุณโดดเด่นและพุ่งทะยานในเส้นทางอาชีพของคุณ

การเป็นผู้สร้างบรรยากาศด้วยคำพูด

คนหนึ่งประเภทที่เวลามีการประชุม จะเป็นคนที่เลือกมองเห็นแง่ดีเสมอ ชี้ให้เห็นความสำเร็จเล็กๆ น้อยๆ และให้เครดิตเพื่อนร่วมงานอย่างจริงใจ จะไม่ใช่แค่ "ผู้ร่วมประชุม" แต่จะกลายเป็น "ผู้ขับเคลื่อนทีม" นักจิตวิทยาเรียกสิ่งนี้ว่า "การส่งต่อพลังบวก" ยิ่งคุณใช้ภาษาที่สร้างสรรค์และให้กำลังใจมากเท่าไหร่ ทีมก็จะยิ่งมีประสิทธิภาพและไอเดียใหม่ๆ มากขึ้นเท่านั้น ทั้งหมดไม่ใช่การมองโลกสวยแบบไม่ลืมหูลืมตา แต่คือ วินัยในการมองหาศักยภาพและพูดมันออกมา

งานวิจัยจาก Harvard Business Review ยืนยันว่า ทีมที่มีปฏิสัมพันธ์เชิงบวกสูงกว่าเชิงลบ จะมีประสิทธิภาพสูงกว่าอย่างชัดเจน ทั้งในด้านกำไรและความพึงพอใจของลูกค้า

วิธีปรับตัวง่ายๆ เพียงแค่ลองเปลี่ยนจากการเป็นนักจับผิด มาเป็นผู้ชี้แนะที่มองเห็นศักยภาพ โดยใช้คำพูดเพื่อเน้นย้ำถึงความก้าวหน้าและความสามารถ สิ่งเหล่านี้อาจจะกลายเป็นคนที่หัวหน้าอยากให้มีอยู่ในห้องประชุมมากที่สุด

ตั้งคำถามมากขึ้น ไม่ใช่แค่หาคำตอบ

การเลื่อนตำแหน่ง ไม่ได้มาจากการรู้ทุกคำตอบ แต่มาจากการตั้งคำถามที่ใช่ คนที่ก้าวหน้าอย่างรวดเร็ว ไม่ได้เก่งเพราะรู้ทุกอย่าง แต่เก่งเพราะมีความอยากรู้อยากเห็นอย่างจริงใจ ซึ่งเป็นสัญญาณของความยืดหยุ่นทางความคิด และศักยภาพความเป็นผู้นำ การตั้งคำถามที่เฉียบคมสามารถเปลี่ยนทิศทางการสนทนาและเปิดมุมมองใหม่ๆ ให้กับทีมได้

...

เลิกถามคำถามปลายปิด แล้วลองใช้คำถามที่ทรงพลังขึ้น เช่น ถ้าเราลองทำแบบนี้จะเป็นอย่างไร?" หรือ "มุมมองนี้จะส่งผลกระทบต่อประสบการณ์ของลูกค้าอย่างไร?"

บทความใน Forbes จัดอันดับให้ "ความอยากรู้อยากเห็น" เป็นหนึ่งในทักษะที่สำคัญที่สุดสำหรับผู้นำรุ่นใหม่ ขณะที่งานวิจัยใน Journal of Personality and Social Psychology พบว่า คนที่แสดงความอยากรู้อยากเห็นและตั้งใจฟัง จะถูกมองว่าน่าคบหาและมีความสามารถมากกว่า ทำให้คนอื่นอยากเข้าหา และร่วมมือด้วย ซึ่งความสงสัยไม่ใช่แค่นิสัย แต่เป็นกลยุทธ์ สู่ความสำเร็จ 

ใช้ความสุขเป็นเชื้อเพลิง ไม่ใช่รางวัล

คนเรามักจะถูกสอนเสมอว่า "ทำงานหนักให้สำเร็จ แล้วจะมีความสุข" แต่จิตวิทยาเชิงบวกกลับพบความจริงที่สวนทางกัน ซึ่งก็คือ “จงมีความสุข แล้วความสำเร็จจะตามมา"

ความสุขไม่ใช่แค่ความรู้สึกฟุ้งๆ แต่เป็นเครื่องมือเพิ่มประสิทธิภาพ ชั้นยอด พนักงานที่มีความสุขจะทำงานได้ดีกว่าเพื่อนร่วมงานในทุกมิติ ไม่ว่าจะเป็นยอดขาย นวัตกรรม หรือความผูกพันต่อองค์กร ทัศนคติของคุณระหว่างการทำงาน สำคัญกว่าตำแหน่งในโปรไฟล์ 

Harvard Business Review ระบุว่า ความสุขเป็นทักษะด้านประสิทธิภาพ ที่สร้างได้ ผู้นำที่สร้างบรรยากาศการทำงานเชิงบวก จะรักษาพนักงานเก่งๆ ไว้ได้ดีกว่า และปิดโครงการได้เร็วกว่า

อย่ามองว่าความสุขเป็นสิ่งฟุ่มเฟือย แต่จงมองว่าเป็นพลังขับเคลื่อนที่สร้างได้ง่ายๆ ผ่านการขอบคุณเรื่องเล็กๆ น้อยๆ การมีอารมณ์ขัน หรือการหาความหมายในงานที่ทำ ผู้นำที่มีความสุขและอบอุ่นจะดึงดูดคนเก่งๆ เข้ามาเสมอ

การเติบโตที่แท้จริงในสายอาชีพ ไม่ใช่การแข่งขันเพื่อเอาชนะใคร แต่คือการยกระดับประสบการณ์ของทุกคนที่ได้ทำงานร่วมกับคุณ เราไม่จำเป็นต้องรอตำแหน่งใหม่เพื่อที่จะเริ่มเป็นผู้นำ เพียงแค่เปลี่ยนแปลงทัศนคติทั้ง 3 ข้อนี้ ที่สามารถเริ่มต้นได้ทันที และผลลัพธ์ของมันจะปรากฏให้เห็นได้ในอนาคตข้างหน้า

ข้อมูล : Forbes