ไทยรัฐโพลสำรวจความคิดเห็นประชาชนเกี่ยวกับพฤติกรรมการดื่ม และมุมมองต่อการจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พบว่ามีความเห็นที่หลากหลาย ทั้งในเรื่องสถานที่ดื่ม ซึ่งส่วนใหญ่เลือกดื่มที่บ้าน รองลงมาคือร้านอาหารและสถานบันเทิง และในประเด็นการปลดล็อกเวลาจำหน่ายช่วงบ่าย  ส่วนใหญ่เห็นว่าไม่มีผลทำให้ดื่มบ่อยขึ้น ดังนั้นการกำหนดเวลาห้ามขายอาจไม่มีผลต่อพฤติกรรมการดื่มมากนัก แม้ผู้ตอบแบบสำรวจบางส่วนจะกังวลเรื่องการปลดล็อกเวลาขาย แต่ก็มีมุมมองด้านผลบวก คือ การเพิ่มโอกาสในธุรกิจการท่องเที่ยว และยอดขายร้านอาหารกระเตื้องขึ้น เกิดการกระตุ้นเศรษฐกิจในภาพรวมของประเทศ

จากความคืบหน้าล่าสุดของ พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ฉบับใหม่ หรือ ร่างพระราชบัญญัติควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ (ฉบับที่ ..) พ.ศ….. ได้ผ่านการเห็นชอบจากวุฒิสภาในวาระที่ 2 และ 3 เมื่อวันที่ 4 สิงหาคมเรียบร้อยแล้ว โดยหลัก ๆ มีการแก้ไขกฎหมายฉบับเดิม พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 นอกจากเรื่องการโฆษณาที่สรุปใจความได้ว่าห้ามโฆษณาจูงใจให้คนดื่ม แต่ให้ข้อมูลความรู้ได้ตามเงื่อนไขที่รัฐมนตรีประกาศกำหนดโดยคำแนะนำของคณะกรรมการควบคุมแล้ว ประเด็นที่ได้รับความสนใจคือ “การปลดล็อกเรื่องเวลาจำหน่ายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์” ที่เดิมกำหนดห้ามจำหน่ายในเวลา 14.00-17.00 น. นั้น ไม่ได้ระบุไว้ในกฎหมายฉบับใหม่ แต่ระบุอำนาจผู้กำหนดเวลาใหม่จากรัฐมนตรีมาเป็นคณะกรรมการควบคุมประกาศกำหนด

โดยกฎหมายใหม่ระบุในมาตรา 20 ว่า “ให้ยกเลิกความในวรรคหนึ่งของมาตรา 28 ของกฎหมายเดิมใน พ.ร.บ.ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ พ.ศ. 2551 และให้ใช้ความต่อไปนี้แทน “มาตรา 28 ห้ามมิให้ผู้ใดขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ในวันหรือเวลาที่คณะกรรมการควบคุมประกาศกำหนด ทั้งนี้ ประกาศดังกล่าวจะกำหนดเงื่อนไขหรือข้อยกเว้นใด ๆ เท่าที่จำเป็นไว้ด้วยก็ได้”

...


เรื่องเวลาการจำหน่ายแอลกอฮอล์ที่ยังมีความเห็นหลากหลาย ทั้งเห็นด้วยและไม่เห็นด้วยให้ปลดล็อกเวลาจำหน่ายแอลกอฮอล์ในช่วงบ่าย ล่าสุดไทยรัฐโพลได้สำรวจความเห็นประชาชนผ่านเว็บไซต์ไทยรัฐออนไลน์ในช่วงวันที่ 2-11 สิงหาคม 2568 ที่ผ่านมา เกี่ยวกับพฤติกรรมของนักดื่มหรือคนที่ไม่ดื่ม รวมถึงผลกระทบที่คาดว่าจะเกิดขึ้น หากปลดล็อกเวลาซื้อแอลกอฮอล์ช่วงบ่ายได้ จากเดิมที่ห้ามจำหน่ายในเวลา 14.00-17.00 น.

มีผู้อ่านตอบแบบสำรวจไทยรัฐโพลในหัวข้อ เมื่อคิดจะดื่ม แบบไหนเป็นการดื่มในแบบคุณ ได้สำรวจความคิดเห็นประชาชนกว่า 9,400 คน ซึ่งผลลัพธ์ที่ได้เผยให้เห็นมุมมองที่ลึกซึ้งในหลายมิติ

หัวข้อแรกสำรวจถึงพฤติกรรมทั่วไป ว่าคุณเป็นคนดื่มหรือไม่ดื่มแอลกอฮอล์ ผู้ตอบแบบสำรวจกว่า 60% ระบุว่าตนเอง "ไม่ดื่มเครื่องดื่มแอลกอฮอล์เลย" ส่วนกลุ่มที่ดื่มนั้นพบว่า 16% ดื่มสัปดาห์ละครั้ง ขณะที่อีก 13.7% ดื่มทุกวัน และอีกเกือบ 10% ดื่มหลายครั้งต่อสัปดาห์

เมื่อถามถึงสถานที่และช่วงเวลาของการดื่ม พบว่า 47.5% ของผู้ตอบแบบสำรวจ นิยมดื่มที่บ้าน  ตามด้วยร้านอาหาร 10.9% และสถานบันเทิง 9.9% และช่วงเวลาที่คนนิยมดื่มมากที่สุดคือ "ค่ำ-ดึก" 34.9% ช่วงเวลา "บ่าย-เย็น"  9.3% สำหรับคำถามเกี่ยวกับการปลดล็อกเวลาขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ แล้วจะดื่มบ่อยขึ้นไหม คำตอบที่ได้คือ 56.7% ที่ตอบว่า "ไม่แน่ใจ" และ 39.5% ตอบว่า "ดื่มเท่าเดิม" มีเพียง 3.9% เท่านั้นที่ตอบว่าจะ "ดื่มบ่อยขึ้น"

ผลลัพธ์นี้สะท้อนให้เห็นว่า การปลดล็อกเวลาขายในช่วงบ่าย อาจไม่ได้กระตุ้นให้คนส่วนใหญ่เปลี่ยนแปลงพฤติกรรมการดื่มของตนเองมากนัก เมื่อถามถึงผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นหากมีการปลดล็อกเวลาขาย ผู้ตอบแบบสำรวจมีความเห็นหลากหลาย โดยด้านบวกมองว่า เป็นโอกาาสในการกระตุ้นเศรษฐกิจ จากการเพิ่มความสะดวกให้นักท่องเที่ยว 15.3% และช่วยให้ร้านอาหารจัดเตรียมของได้ง่ายขึ้น 15.1%

ส่วนความกังวลนั้น ผู้ตอบแบบสำรวจ เป็นห่วงเรื่องปัญหาครอบครัว ชุมชน 19.43% , อุบัติเหตุ/ทำร้ายร่างกาย 19.40% และผลกระทบต่อสุขภาพ 16.8% เมื่อถามถึงแนวคิดเรื่องการ "จัดโซนนิ่ง" เพื่ออนุญาตให้พื้นที่บางแห่ง (เช่น แหล่งท่องเที่ยว) สามารถขายแอลกอฮอล์ในเวลาที่กฎหมายห้ามได้ ปรากฏว่าคนส่วนใหญ่ 51.4% "เห็นด้วย" กับแนวทางนี้ ซึ่งมากกว่าฝ่ายที่ไม่เห็นด้วย 31.6% ชี้ให้เห็นว่านี่อาจเป็นทางออกที่หลายฝ่ายยอมรับได้ เพื่อสร้างสมดุลระหว่างเศรษฐกิจและการควบคุมผลกระทบทางสังคม สำหรับการปลดล็อกเวลาการจำหน่ายแอลกอฮอล์นั้น เป็นข้อเสนอที่มีมานาน เพราะกฎหมายห้ามจำหน่ายแอลกอฮอล์ในเวลา 14.00-17.00 น. ใช้มาตั้งแต่ปี 2515 ตามประกาศของคณะปฏิวัติ หรือ ปว.ฉบับที่ 253 ก่อนที่จะกลายมาเป็นประกาศสำนักนายกรัฐมนตรีในปัจจุบัน ที่มีการจัดโซนนิ่งให้จำหน่ายในเวลาห้ามขายได้ในบางพื้นที่ที่ได้รับอนุญาต

เมื่อมีการใช้มานานกว่า 50 ปี ท่ามกลางสภาพสังคม และเศรษฐกิจที่เปลี่ยนแปลงไปโดยเฉพาะอุตสาหกรรมท่องเที่ยวที่มีการแข่งขันระหว่างประเทศสูงขึ้น ขณะที่ประเทศต้องพึ่งพิงเม็ดเงินรายได้จากการท่องเที่ยวมากขึ้น โดยเฉพาะรายได้จากนักท่องเที่ยวต่างชาติ ซึ่งผู้ประกอบการไทยต่างมองว่าการปลดล็อกเวลาจำหน่ายแอลกอฮอล์จะเป็นส่วนหนึ่งในการกระตุ้นเศรษฐกิจ จากการที่นักท่องเที่ยวต่างชาติมีโอกาสใช้จ่าย กินดื่มในเวลาที่ต้องการได้มากขึ้น เพราะหลายประเทศมีวัฒนธรรมการดื่ม และเวลาที่ต่างกัน อย่างเช่น นายเรวัตร คงชาติ กรรมการสมาคมการค้าธุรกิจร้านอาหารกลางคืน ได้ให้ข้อมูลไว้ก่อนหน้านี้ ว่าหากยกเลิกการห้ามขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์ ช่วง 14.00-17.00 น. จะมีเงินเข้ามาหมุนเวียนในระบบเศรษฐกิจเพิ่มขึ้น 10,000 ล้านบาท 

...

ขณะที่มีข้อกังวลเรื่องการจำหน่ายแอลกอฮอล์ให้กับกลุ่มเสี่ยงนั้น มีความเห็นเรื่องการบังคับใช้กฎหมายอย่างจริงจัง ตามพรบ. ควบคุมเครื่องดื่มแอลกอฮอล พ.ศ. 2551 ที่ได้ระบุในมาตรา 29 ไว้ว่า ห้ามมิให้ผู้ใดขายเครื่องดื่มแอลกอฮอล์แก่บุคคลดังต่อไปนี้  1. บุคคลซึ่งมีอายุต่ำกวายี่สิบปีบริบูรณ์ และ 2. บุคคลที่มีอาการมึนเมาจนครองสติไม่ได้ และกำหนดบทลงโทษไว้ในมาตรา 40 ว่า หากใครฝ่าฝืนต้องระวางโทษจําคุกไมเกินหนึ่งปี หรือปรับไม่เกินสองหมื่นบาท หรือทั้งจําทั้งปรับ และล่าสุดมีข้อเสนอเรื่องการเพิ่มบทลงโทษ เพื่อให้การคุมเข้มการจำหน่ายแอลกอฮอล์ในกลุ่มเสี่ยงได้ผลมากยิ่งขึ้น 

การปลดล็อกเวลาการจำหน่ายแอลกอฮอล์ ยังคงเป็นประเด็นสำคัญที่มีผลทั้งด้านบวกและด้านลบ จึงจำเป็นอย่างยิ่งที่ผู้กำหนดนโยบาย และมีอำนาจในการออกกฎระเบียบ ต้องรับฟังความเห็นอย่างรอบด้าน จากทั้งผู้ประกอบการ ผู้ที่ทำธุรกิจที่เกี่ยวเนื่อง และผู้ที่มีข้อกังวล รวมถึงผู้ที่เรียกร้องให้มีมาตรการป้องกันความเสี่ยงอย่างรอบด้าน