ด้วยภาวะเศรษฐกิจที่ซบเซาจึงทำให้การหางานในยุคนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะนอกจากต้องแข่งขันกับคนด้วยกันแล้ว ปัญญาประดิษฐ์หรือ AI ก็เป็นตัวแปรสำคัญที่ทำให้มนุษย์เงินเดือนรู้สึกหวั่นไหวต่อการถูกแทนที่ด้วยเทคโนโลยีเช่นกัน

คุณดวงพร พรหมอ่อน กรรมการผู้จัดการ Jobsdb by SEEK ประเทศไทย แนะนำถึงวิธีการปรับตัวของเหล่ามนุษย์เงินเดือนเพื่อรับมือกับ AI ที่เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของการใช้ชีวิตประจำวันไปแล้ว โดยอันดับแรกคือ

“ต้องมองว่า AI ไม่ใช่คู่แข่ง แต่ AI คือผู้ช่วยที่ทำให้ชีวิตเราดีขึ้น”

โดยที่ผ่านมาหลายคนมักจะกังวลว่า AI จะมาแย่งงาน แต่ในวงการ HR กลับมองว่า AI คือเครื่องมือที่จะช่วยให้การทำงานมีประสิทธิภาพมากขึ้น เพราะฉะนั้นคนที่จะชนะโลกปัจจุบันได้คือต้องรู้จักวิธีการเอา AI มาใช้ที่จะทำให้ตัวเองทำงานได้ดีขึ้น เร็วขึ้น

คุณดวงพร พรหมอ่อน กรรมการผู้จัดการ Jobsdb by SEEK ประเทศไทย
คุณดวงพร พรหมอ่อน กรรมการผู้จัดการ Jobsdb by SEEK ประเทศไทย

...


ในแต่ละสายงานจะมีการนำ AI มาใช้ในรูปแบบที่แตกต่างกันขึ้นอยู่กับสายงาน และวัตถุประสงค์ในการนำไปใช้ เช่น อาชีพ HR มีการนำ AI มาใช้เพื่อคัดกรองเรซูเม่ของผู้สมัครงานเพื่อลดระยะเวลาการทำงานของ HR

“ถ้าเป็นนักเรียน นักศึกษา Search หาข้อมูลก็ถาม AI เกี่ยวกับเรื่องที่ตัวเองกำลังศึกษาอยู่ ทางฝั่ง Marketing สามารถเอามาใช้ช่วยเขียนพวกคำพาดหัว แคปชั่น หรือเอามาใช้เขียนพวกภาษาต่างๆ ให้ดูสวยงาม หรือแม้กระทั่งเอามาใช้ในการทำรูป ทำอะไรต่างๆ หรือคนที่เคยใช้แล้วเขาก็แชร์ให้ฟังว่า เขาเคยถาม AI ว่าถ้าเกิดเขาจะทำงานในฝั่งเซลล์ให้ดีขึ้นต้องทำยังไงบ้าง AI มีคำแนะนำมาให้ด้วยว่าคุณจะเข้าไปหาลูกค้าคุณจะต้องพูดอะไรยังไง AI ก็สามารถให้คำแนะนำได้” คุณดวงพร กล่าว

อย่างไรก็ตาม ผลสำรวจจากรายงาน Hiring, Compensation & Benefits (HCB) Report ประจำปี 2568 ของ Jobsdb by SEEK ที่ได้ทำการสำรวจผู้ประกอบการ 702 รายทั่วประเทศไทยในเดือนกันยายน-ตุลาคม 2567 เผยว่าองค์กรต่างๆ ไม่ได้มองว่า AI เป็นปัจจัยสำคัญในการจ้างงานเสมอไป

ภาพจาก iStock
ภาพจาก iStock


“ผู้ประกอบการไม่ได้มองว่า AI เป็นปัจจัยสำคัญ ไม่ได้เป็นตัวตัดสินว่าถ้าคุณใช้ AI ไม่เป็นแล้วคุณจะไม่ได้มีโอกาสเข้าทำงาน จริงอยู่ที่การใช้ AI เป็นข้อได้เปรียบ แต่การที่คุณไม่ได้ ก็ไม่ได้หมายความว่าคุณจะไม่มีโอกาสได้งาน หรือคุณอาจจะไม่ชนะคนที่มี AI เพราะว่านายจ้างจะดูเรื่องคุณสมบัติ เรื่องประสบการณ์ของผู้สมัครงานว่าสอดคล้องกับ Job description และความต้องการในตำแหน่งงานที่อยากได้หรือเปล่า บางคนมีทักษะ AI เต็มไปหมดเลย แต่ว่าอย่างอื่นไม่ตรงก็ไม่ได้ถูกเลือกเช่นกัน”

ความสำคัญของความรู้ด้าน AI สำหรับผู้สมัคร:

  • 65% ของผู้ประกอบการพิจารณาความรู้ด้าน AI ของผู้สมัครในขั้นตอนการจ้างงาน
  • โดยส่วนใหญ่ (39%) มองว่าเป็นทักษะเสริมที่สร้าง "มูลค่าเพิ่ม" มากกว่าคุณสมบัติพื้นฐานที่จำเป็น อย่างไรก็ตาม 26% มองว่าทักษะนี้มีความสำคัญอย่างมาก
  • วิธีการประเมินความรู้ด้าน AI มักทำผ่านการสัมภาษณ์โดยตรง (51%) การดูผลงาน (portfolio) ที่เกี่ยวข้องกับ AI (42%) และคำถามสัมภาษณ์เฉพาะทาง (31%)

ด้านผลสำรวจ A new survey from Wiley จาก Forbes เผยว่าในยุคที่ AI เข้ามามีบทบาทในการทำงานและอาจแย่งงานในบางตำแหน่ง แต่ทักษะ Soft Skill ที่มนุษย์มีและ AI ไม่สามารถแทนที่ได้คือทักษะแห่งพลัง (Power Skill) ที่ช่วยให้เราประสบความสำเร็จในการทำงานได้

Soft Skill 3 อันดับแรกที่จำเป็นที่สุดในที่ทำงานในอนาคต ได้แก่

  • การสื่อสาร (34%)
  • ความเป็นผู้นำ (23%)
  • ความสามารถในการปรับตัว (12%)

...

เพราะถึงแม้ว่า AI จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน แต่ไม่สามารถทำความรู้จักและเข้าใจคนที่คุณทำงานด้วยเพื่อสร้างความสัมพันธ์ที่มีความหมายได้

นอกจากนี้ยังมี 5 Soft Skill ที่เป็นที่ต้องการอย่างมากในยุค AI ได้แก่

1. การคิดเชิงกลยุทธ์ (Strategic Thinking)

เป็น Soft Skill ที่เป็นที่ต้องการอย่างมาก โดยเฉพาะตำแหน่งที่ได้รับค่าตอบแทนสูง ทักษะนี้มักช่วยกำหนดพันธกิจและวิสัยทัศน์ของบริษัท มีความจำเป็นไม่เพียงแค่สำหรับผู้บริหารเท่านั้น แต่ยังรวมถึงระดับผู้จัดการและพนักงานที่มีผลงานในระดับสูงด้วย เพราะช่วยให้บุคคลและองค์กรสามารถตัดสินใจอย่างรอบรู้พร้อมทั้งรักษาสมดุลกับสภาพแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลง

ภาพจาก iStock
ภาพจาก iStock


ผู้นำที่มีทักษะการคิดเชิงกลยุทธ์มีแนวโน้มที่จะสร้างความเชื่อมั่นและทำให้แน่ใจว่าความคิดริเริ่มสอดคล้องกับวัตถุประสงค์ระยะยาวขององค์กร

2. ทักษะการสื่อสาร (Communication Skills)

...

การวิจัยที่ตีพิมพ์ใน Business and Professional Communication Quarterly แสดงให้เห็นว่านายจ้างคาดว่าจะให้ความสำคัญกับทักษะการสื่อสารมากขึ้นในยุค AI

ทักษะการสื่อสารด้วยวาจาที่ช่วยส่งเสริมความรู้สึกที่แท้จริงและความไว้วางใจจะเป็นที่ต้องการเป็นหลัก ในการศึกษาเดียวกัน 72% ของผู้ใช้ AI บ่อยครั้งรายงานว่าการสื่อสารด้วยวาจาจะมีความสำคัญมากขึ้น

ภาพจาก iStock
ภาพจาก iStock


ในขณะเดียวกัน 50% กล่าวว่าการสื่อสารด้วยการเขียนจะมีคุณค่าน้อยลงเมื่อ AI พัฒนาขึ้น แม้ว่าการใช้ AI เพื่อส่งอีเมลธรรมดาๆ จะเป็นเรื่องปกติ แต่ปัญหาที่ซับซ้อนหรือละเอียดอ่อนยังคงต้องได้รับการจัดการด้วยตนเอง

การสนทนาด้วยวาจายังเป็นวิธีที่ดีสำหรับผู้จัดการในการประเมินว่าพนักงานเข้าใจและมีส่วนร่วมกับโครงการของพวกเขาหรือไม่

3. ความซื่อสัตย์สุจริต (Honesty And Integrity)

จากผลสำรวจเดียวกันพบว่า 78% ของผู้ใช้ AI บ่อยครั้งคาดการณ์ว่าความซื่อสัตย์จะมีความสำคัญมากขึ้น เนื่องจากความไว้วางใจและหลักจริยธรรมที่สูงจะจำเป็นในการกำกับดูแลการนำ AI มาใช้ในที่ทำงาน ความซื่อสัตย์ยังมีความสำคัญอย่างยิ่งต่อการรักษาความไว้วางใจกับพนักงานที่กลัวว่าจะตกงานเพราะเทคโนโลยี ด้วยความโปร่งใส ทีมงานจะรู้สึกมั่นใจว่าผู้นำคำนึงถึงผลประโยชน์สูงสุดของพวกเขา

...

4. การคิดเชิงวิเคราะห์ (Critical Thinking)

ในขณะที่ AI สามารถจดจำรูปแบบและทำงานอัตโนมัติได้ จิตใจของมนุษย์ก็มีความสามารถโดดเด่นในการคิดเชิงวิเคราะห์และการแก้ปัญหาเช่นกัน

องค์กรจะยังคงต้องการบุคคลเพื่อกำหนดเป้าหมาย ตัดสินใจเชิงกลยุทธ์ และประเมินความเสี่ยง ทักษะที่มีคุณค่าสูงนี้เกี่ยวข้องกับความสามารถในการวิเคราะห์และตีความข้อมูลอย่างมีเหตุผล

การคิดเชิงวิเคราะห์ช่วยให้บุคคลสามารถตัดสินใจโดยอิงจากข้อมูลที่เป็นรูปธรรมมากกว่าอารมณ์ พนักงานที่มีทักษะการคิดเชิงวิเคราะห์ที่แข็งแกร่งมักจะเป็นผู้แก้ปัญหาและผู้สื่อสารที่ดีด้วย

5. ความสามารถในการปรับตัว (Adaptability)

การเพิ่มขึ้นของ AI ยังทำให้ความสามารถในการปรับตัวในที่ทำงานเป็น "ทักษะที่สำคัญที่สุดในขณะนี้" ตามรายงานล่าสุดของ LinkedIn

ความสามารถในการปรับตัวคือความสามารถในการปรับตัวอย่างรวดเร็วต่อการเปลี่ยนแปลงในสภาพแวดล้อมการทำงานของคุณ

ไม่ว่าคุณจะจัดการกับการเลิกจ้างหรือการเปลี่ยนแปลงลำดับความสำคัญของงาน ความสามารถในการยอมรับการเปลี่ยนแปลงเป็นสิ่งสำคัญในที่ทำงานที่เปลี่ยนแปลงตลอดเวลาในปัจจุบัน

นอกเหนือจากความจริงที่ว่าอัตราการเปลี่ยนแปลงกำลังเร่งขึ้น การจ้างงานที่เน้นทักษะก็เป็นเรื่องปกติมากขึ้น ทำให้ความสามารถในการยอมรับแนวคิดการเติบโต (growth mindset) เป็นสิ่งสำคัญสำหรับพนักงานที่ต้องการก้าวไปข้างหน้า

AI ผู้ช่วยสำคัญของ Jobsdb by SEEK

นอกจากในมุมของคนทำงานที่เป็นมนุษย์เงินเดือนหรือฟรีแลนซ์แล้ว ด้านแพลตฟอร์มจัดหางานรายใหญ่อย่าง Jobsdb by SEEK ก็มีการนำ AI มาใช้เป็นผู้ช่วยอำนวยความสะดวกในการทำงานเบื้องหลัง โดยเฉพาะการคัดกรองเรซูเม่จากผู้สมัครงานที่ในแต่ละวันมีการส่งมานับร้อยราย จึงช่วยแบ่งเบาเวลาการทำงานของ HR ไปได้มาก

“สมัยก่อนเวลาคนสมัครงานก็ส่งเรซูเม่มา ถ้าเป็นเรซูเม่กระดาษก็ต้องนั่งอ่าน ถ้าคนสมัครมาเป็นร้อย HR ก็ต้องนั่งดูเป็นร้อย แต่ว่าเมื่อใช้ระบบ AI ข้างหลัง เขามีพวก Job Description อยู่ AI มันจะ Match ให้เลยว่าเรซูเม่ที่เหมาะกับงานนี้มีใครบ้าง ทำให้ HR ไม่ต้องมานั่งคัดกรองเรซูเม่เป็นร้อยๆ หรือว่าใช้ AI Ad writing ช่วยเขียนประกาศรับสมัครงานเพื่อดึงดูดผู้สมัครให้มากที่สุด”

คุณดวงพรเล่าให้ฟังว่าการลงประกาศรับสมัครงานของ HR จำเป็นต้องใช้ทักษะการเขียน การสื่อสาร ที่คนอ่านแล้วเข้าใจว่างานที่ประกาศรับสมัครนี้คืออะไร จึงเป็นข้อได้เปรียบของคนที่เขียนได้เก่ง แต่พอมี AI เข้ามาช่วยให้ HR ขัดเกลา Job Description ที่จะลงประกาศงานได้ดีขึ้น

ภาพจาก iStock
ภาพจาก iStock


ที่ผ่านมาทีมงานของ Jobsdb by SEEK ต้องช่วยให้คำปรึกษากับ HR ของบริษัทต่างๆ ว่าประกาศรับสมัครงานของคุณยังไม่สามารถดึงดูดแคนดิเดตได้มากพอ เพราะว่ามีรายละเอียดสั้นๆ แล้วก็ไม่น่าสนใจ พอไปเทียบกับงานของอีกบริษัทหนึ่งที่เขียนมาครบถ้วนแล้วดูดี แคนดิเดตก็อาจจะไปสนใจที่อื่นแทน ทีมงานก็ให้คำปรึกษาว่าเขียนยังไงให้ดีเพื่อที่จะทำให้การโฆษณารับสมัครงานช่วยดึงดูดคนได้มากขึ้น

แต่เมื่อมีการนำ AI Ad Writing เข้ามาช่วยแนะนำว่าการเขียนประกาศรับสมัครงานแบบนี้จะมีลักษณะอย่างไร ก็จะมีเทมเพลตออกมาให้ ซึ่งช่วยลดเวลาในแง่ของการเขียนประกาศงานได้

“แต่ถ้าเขาเปิดรับสมัครงานอยู่ตลอดเวลา เขาจะรู้แล้วว่างานนี้มี Job Description ประมาณนี้ เขาต้องการคนที่มีคุณสมบัติประมาณนี้ เขาอาจจะส่งเข้าไปใน AI Ad writing แล้วก็ไปดูว่าโอเคไหม สำหรับการใช้คำพูดแบบนี้ อันนี้เป็นสิ่งที่ช่วยได้”

นอกจากเรื่องของการช่วยเขียนประกาศรับสมัครงานแล้ว AI ยังมีส่วนช่วย HR ในเรื่องการคัดกรองผู้สมัครงานจากเรซูเม่ที่มีคุณสมบัติตรงกับ Job Description ที่นายจ้างลงประกาศรับสมัครงานไว้ เนื่องจากบางตำแหน่งมีคนสมัครจำนวนมาก HR ก็ต้องมีผู้ช่วยเพื่อลดระยะเวลาทำงาน พร้อมตัดผู้สมัครที่ไม่เข้าเกณฑ์ออกไปจำนวนหนึ่งได้