คู่มือภาษีของพ่อค้า แม่ค้า ขายของออนไลน์ที่ทำธุรกิจ และศึกษาในเรื่องเกี่ยวกับภาษีของการค้าขายจะต้องเสียภาษี และวางแผนลดหย่อนภาษีอย่างไรให้มีประสิทธิภาพชวนทำความเข้าใจเรื่องนี้กันให้มากขึ้น
พ่อค้า แม่ค้า ขายของออนไลน์ที่กำลังกังวล และไม่แน่ใจเรื่องภาษีว่าต้องเสียภาษีแบบไหน หรือมีรายได้เท่าไรถึงเข้าข่ายที่ต้องจ่ายภาษี
บทความนี้จะพาคุณไปทำความเข้าใจเรื่องภาษีอย่างละเอียด เพื่อให้สามารถวางแผนภาษีได้อย่างมีประสิทธิภาพ และช่วยแบ่งเบาภาระภาษีที่ต้องจ่ายจริงในแต่ละปีได้อย่างคุ้มค่า เพราะการทำความเข้าใจเรื่องภาษีและวางแผนอย่างรอบคอบจะช่วยให้ธุรกิจออนไลน์ของคุณเติบโตได้อย่างมั่นคงและถูกกฎหมาย ไม่ต้องกังวลเรื่องภาษีย้อนหลังในอนาคต
ขายของออนไลน์ต้องเสียภาษีแบบไหน
รายได้จากการขายของออนไลน์ผ่าน Social Media Platform หรือ Marketplace Platform ต่างๆ นั้นล้วนถูกจัดเป็น เงินได้ตามมาตรา 40(8) ซึ่งถือเป็นเงินได้ของบุคคลธรรมดา
ดังนั้นเหล่าพ่อค้า แม่ค้าจะต้องนำรายได้ส่วนนี้ไปคำนวณภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา หรือ ภาษีเงินได้นิติบุคคล (วิธีทำนวณภาษีเงินได้ อ่านต่อได้ที่นี่) ตามที่กฎหมายกำหนด นอกจากนี้หากรายได้จากการขายเกินเกณฑ์ที่กำหนด จะต้องเสีย ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) เพิ่มเติมด้วย
รายได้เท่าไรถึงต้องเสียภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT)
ขายของออนไลน์ และมีรายได้รวมทั้งปีเกิน 1,800,000 บาท พ่อค้า แม่ค้าจะต้องจดทะเบียน ภาษีมูลค่าเพิ่ม (VAT) ภายใน 30 วันหลังจากที่มีรายรับเกินเกณฑ์ดังกล่าว
วิธีจดทะเบียน VAT
...
ทำได้ที่สำนักงานสรรพากรในพื้นที่ หรือยื่นผ่านอินเทอร์เน็ตออนไลน์
หลังจากจดทะเบียนแล้ว ต้องยื่นแบบแสดงรายการภาษีมูลค่าเพิ่ม (ภ.พ. 30) ทุกเดือนภายในวันที่ 15 ของเดือนถัดไป
ข้อแนะนำ: หลังการจด VAT จะส่งผลต่อการตั้งราคาสินค้าเดิม ดังนั้นควรวางแผนราคาสินค้าให้ครอบคลุม VAT 7% เพื่อหลีกเลี่ยงการปรับขึ้นราคาในภายหลัง
เงินเข้าบัญชีบ่อยๆ ต้องเสียภาษีไหม
ปัจจุบันการใช้ e-Payment แพร่หลายมากขึ้น ธนาคารมีหน้าที่ต้องส่งข้อมูลธุรกรรมให้กับกรมสรรพากร ซึ่งไม่ได้กำหนดเฉพาะคนขายของออนไลน์เท่านั้น แต่ใช้กับทุกคนและหากเข้าข่าย “ธุรกรรมลักษณะเฉพาะ” ที่มีเงื่อนไขนี้
จำนวนเงินโอนเข้าบัญชีตั้งแต่ 3,000 ครั้งขึ้นไป โดยไม่กำหนดยอดรวมธุรกรรมเงินโอนเข้าบัญชี และจำนวนเงินโอนเข้าบัญชีตั้งแต่ 400 ครั้งขึ้นไป โดยยอดรวมธุรกรรมเงินโอนเข้าบัญชีตั้งแต่ 2,000,000 บาทขึ้นไป
หากเข้าข่ายข้อใดข้อหนึ่งจากข้างต้น ธนาคารจะส่งข้อมูลให้กรมสรรพากร เพื่อให้ผู้ที่ถึงเกณฑ์ต้องเสียภาษีตามกฎหมาย
ผู้ที่เข้าข่าย ควรเตรียมความพร้อมด้วยการจัดทำ บัญชีรายรับ-รายจ่าย อย่างถูกต้อง เก็บเอกสารหลักฐานที่เกี่ยวข้องกับการประกอบธุรกิจ และยื่นแสดงรายการภาษีให้ครบถ้วน
ขายของออนไลน์ ยื่นภาษีเมื่อไร ยื่นอย่างไร
หากมีรายได้ถึงเกณฑ์ที่กำหนด สำหรับคนขายของออนไลน์ ผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ ไม่ว่าจะมีรายได้ กำไร ขาดทุนเท่าไร จ่ายค่าเปอร์เซ็นต์ หรือถูกหักภาษี ณ ที่จ่ายไปแล้ว ทั้งสถานะโสด หรือมีคู่สมรส โดยคนโสดมีรายได้ทั้งปีเกิน 60,000 บาท และคนที่มีคู่ (สมรส) มีรายได้รวมทั้งปีเกิน 120,000 บาทจะต้องมีหน้าที่ยื่นภาษี 2 รอบต่อปีดังต่อไปนี้
- ยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาครึ่งปี (ภ.ง.ด.94): สำหรับรายได้ที่เกิดขึ้นในช่วงครึ่งปีแรก (1 มกราคม - 30 มิถุนายน) โดยยื่นในช่วง 1 กรกฎาคม - 30 กันยายน ของปีเดียวกัน
- ยื่นภาษีเงินได้บุคคลธรรมดาประจำปี (ภ.ง.ด.90): สำหรับรายได้ตลอดทั้งปี (1 มกราคม - 31 ธันวาคม) โดยยื่นในช่วง 1 มกราคม - 31 มีนาคม ของปีถัดไป
วางแผนลดหย่อนภาษีสำหรับคนขายของออนไลน์
การวางแผนลดหย่อนภาษี จะช่วยให้ประหยัดภาษีที่ต้องจ่ายได้โดยมีทางเลือกหลักๆ 2 รูปแบบได้แก่ หักค่าใช้จ่ายตามประเภทของรายได้ โดยเงินได้ตามมาตรา 40 (8) สามารถเลือกหักค่าใช้จ่ายแบบเหมาจ่าย 40-60% ของเงินได้ หรือหักตามจริงจากเอกสารค่าใช้จ่าย
รวมถึงประกันสุขภาพออนไลน์ ที่นอกเหนือจากความคุ้มครองกรณีเจ็บป่วยแล้ว เบี้ยประกันสุขภาพยังสามารถนำไปลดหย่อนภาษีได้สูงสุด 25,000 บาท และหากเป็นประกันชีวิตที่มีความคุ้มครองตั้งแต่ 10 ปีขึ้นไป สามารถลดหย่อนภาษีได้ตามจริงสูงสุดถึง 100,000 บาท (รวมเบี้ยประกันสุขภาพและชีวิตแล้วต้องไม่เกิน 100,000 บาท)
ทั้งนี้การใช้สิทธิหักลดหย่อนภาษีเป็นไปตามหลักเกณฑ์ของกรมสรรพากร และผู้ซื้อควรทำความเข้าใจในรายละเอียด ความคุ้มครอง และเงื่อนไขก่อนตัดสินใจทำประกันภัยทุกครั้ง