รวมวิธีสังเกต และประเมินตนเองว่าเรานั้นเป็นพนักงานที่มีประสิทธิภาพที่มีแรงบันดาลใจ และไฟในการทำงานอย่างเต็มเปี่ยม หรือแค่ทำงานหนักเพื่อความก้าวหน้าในอาชีพที่นับถอยหลังสู่ภาวะหมดไฟ (Burnout) ในอนาคต

แม้ว่าปัจจุบันจะมีปัญญาประดิษฐ์หรือ AI เข้ามาเป็นตัวช่วยในการทำงานอย่างหลากหลาย แต่บางครั้งก็ยังต้องแลกมาด้วยการทำงานที่หนักเพิ่มมากขึ้นในหลายๆ มิติจากองค์กร 

แม้ว่าจะมีตัวช่วยเหลือแค่ไหน ก็ยังคงต้องมีการแข่งขัน หรือการทดแทนจาก AI ทำให้พนักงานเลือกที่จะต้องทำงานหนักอยู่เสมอ ผนวกกับวัฒนธรรมของการทำงานหนัก ที่ทำให้ผู้ที่ทำงานหนักมักถูกยกย่องเสมอ ก็ยังคงอยู่กับเรา และเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ 

แรงกระตุ้นเหล่านี้ ส่งผลให้หลายคนเสี่ยงต่อภาวะการหมดไฟ ที่สามารถกระทบได้ทั้งพนักงานที่มีประสิทธิภาพสูง และผู้ที่ทำงานหนักหากยังไม่รู้จักตัวเองดีพอ

อย่างไรก็ตาม ไทยรัฐออนไลน์ ได้รวมวิธีสังเกต และประเมินตนเองเบื้องตนว่าเรานั้นเป็นพนักงานที่มีประสิทธิภาพที่เหมาะสมกับองค์กรอยู่หรือไม่ หรือแค่ทำงานหนักเพื่อความก้าวหน้าจนเคยชิน ที่เสี่ยงต่อภาวะหมดไฟได้ในอนาคต

5 คำถาม ชวนสังเกตตัวเองว่าเสี่ยงต่อภาวะหมดไฟในการทำงานหรือไม่

  • ทัศนคติในการทำงาน ต่อที่ทำงานเป็นอย่างไร?

พนักงานที่ยังคงมีประสิทธิภาพสูงในการทำงานนั้น จะยังคงมีทัศนคติเชิงบวก มองความท้าทายเป็นโอกาสในการเรียนรู้และเติบโตในองค์กรอยู่ สามารถเปิดใจรับฟังคำติชม พร้อมตั้งเป้าหมาย และคิดว่ามีโอกาสที่เป็นจริงได้ 

ส่วนผู้ที่ทำงานหนัก จะเริ่มมีทัศนคติมุ่งมั่นในความสมบูรณ์แบบมากขึ้น หากเกิดความผิดพลาดจะโทษ และ วิจารณ์ผลงานตัวเองอย่างรุนแรง ตั้งเป้าหมายที่ไม่สามารถทำได้ และมีความรู้สึกต่อคุณค่าในตัวเองที่ผูกติดกับความสำเร็จในอาชีพการงาน

...

  • อะไรคือแรงผลักดันในการทำงาน?

พนักงานประสิทธิภาพสูง ยังคงมุ่งมั่นที่จะทำผลงานให้ดีที่สุด เน้นการสร้างผลงานที่มีความหมาย ตอบโจทย์ และสอดคล้องกับค่านิยมของตนเอง มีแนวทางที่ชัดเจนในการทำงาน และยังคงความหลงใหล มองผลงานที่ดีคือสิ่งสำคัญ

ผู้ที่ทำงานหนัก จะขับเคลื่อนการทำงานด้วยความกลัวจากความล้มเหลว ความผิดหวัง และความไม่แน่นอนในหน้าที่การงาน ด้วยการเน้นที่ตัวเองนั้นมีการทำงานอยู่ตลอดเวลาเพื่อรับการยอมรับจากภายนอกว่า งานที่ยุ่ง งานที่ล้นมือ นั้นคือเครื่องหมายแห่งความสำเร็จที่สามารถปกป้องเราได้

  • การทำงานทำให้มีพลังหรือหมดพลัง?

พนักงานที่มีประสิทธิภาพสูง แม้จะทำงานเป็นเวลานาน แต่ก็ยังรู้สึกมีพลัง รู้สึกตื่นเต้นกับงาน มีไอเดีย หรือความท้าทายใหม่ ๆ เสมอ ตนเองจะมีมีความมุ่งมั่นและตัดงานที่ไม่จำเป็นซึ่งไม่สอดคล้องกับเป้าหมายออกไป

ผู้ที่ทำงานหนัก ส่วนใหญ่เลือกทำสิ่งที่ไม่สำคัญเพื่อให้รู้สึกว่าตนเองยังคงมีประสิทธิภาพในการทำงานอยู่ มักใช้การทำงานเป็นกลไกการรับมือเพื่อหลีกเลี่ยงความรู้สึกเชิงลบ อาจเสี่ยงต่อภาวะซึมเศร้าและหมดไฟได้

  • หน้าที่ และการทำงานมีความยังยั่งยืนหรือไม่?

พนักงานประสิทธิภาพสูง ยังคงสามารถกำหนดลำดับความสำคัญอย่างเคร่งครัด แยกแยะได้ว่าอะไรสำคัญและอะไรที่สามารถรอได้ ไม่ใช่ทุกอย่างจะมีความสำคัญสูงสุด กำหนดภารกิจชัดเจน รู้ว่างานอะไรมีประสิทธิภาพต่อตนเองสูงสุด สามารถพัฒนาต่อยอดจากผลงานได้เป็นอย่างดี

ส่วนผู้ที่ทำงานหนัก จะมองว่าทุกอย่างมีความสำคัญสูงสุด ไม่สามารถแยกแยะได้ระหว่างงานที่เร่งด่วน กับงานที่ไม่สำคัญ ทุกโครงการคือภารกิจสำคัญ ทั้งหมดนี้ต้องทำให้เสร็จตามกำหนดหรือก่อนกำหนดเพื่อปกป้องตัวเอง และถามหาความก้าวหน้าในอาชีพ

  • มองวิธีวัดความสำเร็จอย่างไร?

พนักงานประสิทธิภาพสูง จะสามารถวัดความสำเร็จจากผลงานที่เกิดขึ้น ไม่ใช่จากชั่วโมงการทำงาน แสวงหาแนวคิดใหม่ ๆ และสร้างสมดุล กลยุทธ์ ระหว่างการทำงานได้

ผู้ที่ทำงานหนัก จะมองความสำเร็จด้วยความพยายามและเวลา ไม่ใช่ผลลัพธ์ เน้นงานหนัก หมกมุ่นอยู่กับงานจนรู้สึกว่าปริมาณงานสำคัญกว่าคุณภาพของผลงาน ไม่สามารถตัดขาดจากงานได้ หากความสำเร็จต้องแลกมาด้วยความสัมพันธ์และสุขภาพ อาจเป็นสัญญาณของการทำงานหนักเกินไป

การทำงานหนัก มักถูกเข้าใจผิดได้ง่ายว่าเป็นแรงผลักดันและความหลงใหล แต่การทำงานหลายชั่วโมงไม่ได้หมายความว่าคุณจะมีประสิทธิภาพเสมอไป แทนที่จะทำงานหนัก ลองหันมาเน้นการทำงานอย่างชาญฉลาด เพื่อให้ได้ผลลัพธ์ที่ดีขึ้น มองหามุมมองใหม่ๆ จากองค์กรในการพัฒนาตนเองโดยที่ยังไม่หมดไฟไปเสียก่อน

ข้อมูล : Forbes