การได้ทำงานจากที่ไหนก็ได้ในโลก ถือเป็นหนึ่งในความฝันของใครหลายคน แน่นอนว่ากระแสของการทำงานแบบ Digital Nomad เป็นหนึ่งรูปแบบที่น่าสนใจ และใครๆ ก็ใฝ่ฝัน แต่สุดท้ายก็ไม่ได้เป็นจริงสักที
บางคนอาจจะมีเงื่อนไขการทำงานที่แตกต่าง และไม่สามารถทำงานในรูปแบบนี้ได้ แต่กับบางคนทั้งที่รู้ว่าตัวเองสามารถทำงานอิสระ สร้างรายได้ดี และบริหารทีมจากระยะไกลได้สบายๆ แล้วอะไรคือสิ่งที่ฉุดรั้งพวกเขาเอาไว้
ข้อมูลจาก MBO Partners เผยว่าในปี 2022 มีชาว Digital Nomad ในอเมริกาสูงถึง 16.9 ล้านคน เพิ่มขึ้นถึง 131% จากปี 2019 ก่อนช่วงโรคระบาด สะท้อนให้เห็นว่า ทั้งหมดนี้คือเทรนด์ที่เติบโตอย่างก้าวกระโดดแม้ว่า 66% จะเป็นพนักงานประจำที่เปลี่ยนมาทำงานแบบ Digital Nomad แต่แนวโน้มนี้ก็ยังคงขยายตัวในทุกกลุ่มอาชีพ
ทำให้ตัวเลือกการทำงานจากที่บ้าน หรือ Work From Home ยังมีจำนวนเติบโตเพิ่มมากขึ้นควบคู่ไปด้วยในปัจจุบัน แต่อย่างไรก็ตาม การทำงานแบบนี้ไม่ใช่ Digital Nomad ถ้าสุดท้ายแล้วพนักงานยังต้องถูกเรียกตัวเข้าออฟฟิศเมื่อไหร่ก็ได้ เป็นสิ่งที่น่าสนใจอย่างมากว่าทำไมคนส่วนใหญ่ถึงยังทำงานแบบ Digital Nomad ไม่ได้
สาเหตุความกังวลที่ทำให้คนส่วนใหญ่ทำงานแบบ Digital Nomad ไม่ได้
ความกังวลด้านการเงิน: ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลกระทบต่อพนักงานหลายรายคือความกังวลเรื่องค่าใช้จ่ายที่ไม่เพียงพอต่อการดำเนินชีวิตในรูปแบบ Digital Nomad แม้ว่าค่าใช้จ่ายอาจต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ ขึ้นอยู่กับสถานที่ รูปแบบงาน และปัจจัยอื่น ๆ แต่การวางแผนทางการเงินที่รอบคอบเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง ซึ่งส่งผลให้หลายคนยังไม่กล้าตัดสินใจ
ความผูกพันกับสถานที่: ความคุ้นเคยและความผูกพันกับสถานที่เดิมเป็นอีกหนึ่งข้อจำกัดที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ การปรับตัวเข้ากับสภาพแวดล้อมใหม่เป็นเรื่องที่ท้าทายสำหรับบางบุคคล รวมถึงปัจจัยในการทำงานที่อาจตามมา แม้ว่าปัจจุบันผลลัพธ์ของงานจะเป็นสิ่งสำคัญที่องค์กรให้ความสนใจมากกว่าสถานที่ทำงาน
...
ภาระผูกพันกับครอบครัว: ครอบครัวเป็นอีกหนึ่งเหตุผลสำคัญที่ทำให้การตัดสินใจเป็น Digital Nomad เป็นไปได้ยาก และเป็นปัจจัยที่ฉุดรั้งคนทำงานจำนวนมาก
การยึดติดกับสิ่งของ: หลายคนยังคงยึดติดกับสิ่งของส่วนตัวที่คุ้นเคย หรือกิจวัตรประจำวันที่เคยปฏิบัติ ซึ่งเป็นข้อจำกัดที่บางครั้งบุคคลสร้างขึ้นมาเอง การลดการยึดติดกับสิ่งของจะช่วยเพิ่มอิสระในการเดินทางและการใช้ชีวิต
ความวิตกกังวลในการปรับตัวกับสภาพแวดล้อมใหม่: การเริ่มต้นชีวิตในเมืองใหม่ย่อมมีความเครียดเล็กน้อยจากการปรับตัว แน่นอนว่าความกังวลเหล่านี้จะค่อยๆ คลี่คลายลงภายในไม่กี่วัน เมื่อบุคคลสร้างระบบการเดินทางและการใช้ชีวิตที่คุ้นเคย
ข้อจำกัดด้านการทำงานและการอนุมัติจากองค์กร: บริษัทไม่อนุญาตให้ทำงานจากระยะไกล เป็นอุปสรรคที่พบได้บ่อย อย่างไรก็ตาม หลังจากปี 2563 บริษัทจำนวนมากได้ปรับตัวเพื่อรองรับการทำงานระยะไกลอย่างรวดเร็วเพื่อรักษาบุคลากรที่มีความสามารถ ทำให้ปัจจุบันอุปสรรคได้เริ่มมีทิศทางที่เปลี่ยนแปลงไปมาก
แนวทางการเตรียมตัวเพื่อเป็น Digital Nomad
ปัจจุบันมีกว่า 50 ประเทศที่เสนอ วีซ่าสำหรับ Digital Nomad โดยเฉพาะ เช่น โปรตุเกส โครเอเชีย และคอสตาริกา ซึ่งโดยทั่วไปจะอนุญาตให้พำนักได้ 6-12 เดือน พร้อมหลักฐานแสดงรายได้ ควรตรวจสอบข้อกำหนดการเข้าประเทศล่วงหน้าเสมอ
การดูแลสุขภาพไม่ควรเป็นอุปสรรค สามารถศึกษาข้อมูลระบบการดูแลสุขภาพและร้านขายยาในท้องถิ่นล่วงหน้า เพื่อให้มั่นใจในความพร้อม และประกันการเดินทางเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่ง ควรเลือกซื้อ ประกันการเดินทางที่ครอบคลุมโรคประจำตัว และเหมาะสมแก่ตนเอง
ไลฟ์สไตล์แบบ Digital Nomad ยังคงมีแนวโน้มการเติบโตอย่างต่อเนื่อง แม้จะมีอุปสรรคหลายประการ ความกังวลต่างๆ จะลดลงเมื่อบุคคลเริ่มลงมือปฏิบัติจริง
สถานที่เกิดอาจไม่ได้เป็นสิ่งที่กำหนดอนาคต ความสะดวกสบายของการอยู่กับที่ อาจบดบังโอกาสมากมาย ถ้าไม่ลอง หรือไม่กล้าตัดสินใจอย่างถี่ถ้วนคนทำงานอย่างเราอาจจะพลาดโอกาสสำคัญในการเติบโต และสำรวจโลกอันกว้างใหญ่นี้ก็เป็นได้