การประกอบอาชีพในปัจจุบันได้เปลี่ยนแปลงไปอย่างมีนัยสำคัญ ส่งผลให้ประชากรกลุ่มเจเนอเรชันวาย (Gen Y) จำนวนมากเผชิญกับภาวะหมดไฟในการปฏิบัติงาน
ปัจจุบันการทำงานได้แตกต่างจากแนวทางการทำงานในอดีตที่เน้นความผูกพันกับองค์กรเดียว โดย Gen Y พบว่าตนเองมีความจำเป็นต้องดำเนินงานในหลากหลายบทบาทเพื่อรองรับรูปแบบการดำเนินชีวิตที่ต้องการ
ซึ่งบ่อยครั้งส่งผลกระทบต่อสุขภาวะทางจิตใจ ข้อมูลจากงานวิจัยของ Academized ระบุว่า ร้อยละ 52 ของ Gen Y มีการประกอบอาชีพเสริม และเป็นที่น่าสังเกตว่า หนึ่งในสี่ของกลุ่มดังกล่าวปฏิบัติงานพร้อมกันถึงสามงาน ในขณะที่ หนึ่งในสามบริหารจัดการแหล่งรายได้มากถึงสี่ช่องทาง
ปรากฏการณ์นี้ หรือที่เรียกว่า "การทำงานแบบพหุลักษณ์" (Multi-Hyphenate Working) ที่ปัจจุบันไม่ได้เป็นเพียงกระแสชั่วคราว แต่เป็นการปรับตัวเพื่อตอบสนองต่อสภาวะทางเศรษฐกิจ กล่าวคือ ในบริบทที่ค่าครองชีพมีแนวโน้มสูงขึ้นอย่างต่อเนื่อง Gen Y จำนวนไม่น้อยจึงแสวงหาแหล่งรายได้ที่หลากหลายเพื่อความมั่นคงทางการเงิน
อย่างไรก็ตาม ข้อมูลจากงานวิจัยเพิ่มเติมชี้ให้เห็นว่า Gen Y เผชิญกับความเสี่ยงต่อภาวะหมดไฟในอัตราที่สูงกว่ากลุ่มประชากรอื่น โดยข้อมูลจาก Gallup พบว่า ในปี พ.ศ. 2565 อัตราภาวะหมดไฟในกลุ่มผู้จัดการ Gen Y สูงถึงร้อยละ 42 ดังนั้น การทำความเข้าใจและประยุกต์ใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสมจึงมีความสำคัญอย่างยิ่งในการรักษาสมดุลระหว่างความสำเร็จทางอาชีพและสุขภาวะส่วนบุคคล
ปัจจัยขับเคลื่อนการทำงานหลากหลายบทบาทในกลุ่ม Gen Y
ปัจจัยสำคัญหลายประการที่ส่งผลให้ Gen Y มีแนวโน้มที่จะประกอบอาชีพมากกว่าหนึ่งประเภท ประกอบด้วย
ความจำเป็นทางเศรษฐกิจ: Gen Y เผชิญกับแรงกดดันทางการเงินอันเนื่องมาจากภาระหนี้สินจากการศึกษาและอัตราค่าตอบแทนที่ไม่สอดคล้องกับค่าครองชีพที่สูงขึ้น ส่งผลให้การมีแหล่งรายได้เสริมกลายเป็นความจำเป็น ข้อมูลจาก Academized บ่งชี้ว่า Gen Y ที่มีอาชีพเสริมมีรายได้เฉลี่ยเพิ่มขึ้น 12,689 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี และผู้ประกอบอาชีพอิสระในสาขาเทคโนโลยีบางรายมีรายได้เพิ่มขึ้นถึง 45,000 ดอลลาร์สหรัฐต่อปี
...
ศักยภาพของเทคโนโลยี: แพลตฟอร์มดิจิทัลและโอกาสในการปฏิบัติงานระยะไกลได้ลดข้อจำกัดในการเข้าถึงโอกาสการทำงานเสริมอย่างมีนัยสำคัญ ผลการสำรวจของ Academized เผยว่า ร้อยละ 35 ของ Gen Y ใช้เครื่องมือดิจิทัลและปัญญาประดิษฐ์ (AI) ในการบริหารจัดการงานเสริม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในสาขาเทคโนโลยี
นิยามใหม่ของความมั่นคงทางอาชีพ: ภายหลังการเผชิญกับความผันผวนทางเศรษฐกิจหลายครั้ง Gen Y ตระหนักถึงความสำคัญของการกระจายแหล่งรายได้เพื่อลดความเสี่ยงจากการว่างงาน แนวคิดดั้งเดิมเกี่ยวกับความมั่นคงในการทำงานจึงถูกปรับเปลี่ยนไปสู่การสร้างความมั่นคงทางอาชีพจากแหล่งรายได้ที่หลากหลาย
การเปลี่ยนแปลงค่านิยมสู่ความเป็นอิสระ: Gen Y จำนวนมากให้ความสำคัญกับความยืดหยุ่นและคุณค่าของงานมากกว่าการเติบโตในสายอาชีพตามรูปแบบดั้งเดิม การทำงานหลากหลายบทบาทตอบสนองความต้องการดังกล่าว โดยช่วยให้พวกเขาสามารถดำเนินโครงการที่สนใจควบคู่ไปกับการมีแหล่งรายได้ที่มั่นคง
ผลประโยชน์ของการทำงานหลากหลายสำหรับ Gen Y
- การลดความเสี่ยงและความมั่นคงทางจิตใจ: การมีแหล่งรายได้หลายทางช่วยลดความกังวลและความไม่แน่นอนทางการเงิน ส่งผลให้ผู้ปฏิบัติงานมีความมั่นใจในการตัดสินใจเกี่ยวกับเส้นทางอาชีพมากขึ้น
- การพัฒนาทักษะและการเติบโตทางอาชีพ: การปฏิบัติงานในหลากหลายบทบาทช่วยให้ Gen Y ได้รับประสบการณ์และพัฒนาทักษะที่หลากหลาย ซึ่งสามารถส่งเสริมประสิทธิภาพในการปฏิบัติงานอื่น ๆ และเร่งการเติบโตทางอาชีพในระยะยาว
- การขยายเครือข่ายทางวิชาชีพ: การมีปฏิสัมพันธ์กับบุคคลในหลากหลายอุตสาหกรรมช่วยสร้างเครือข่ายทางวิชาชีพที่กว้างขวาง ซึ่งอาจนำไปสู่โอกาสที่ไม่คาดคิดในอนาคต
- ความเป็นอิสระและการลดความเครียด: การไม่พึ่งพิงแหล่งรายได้เพียงแหล่งเดียวช่วยให้ Gen Y มีอำนาจในการกำหนดขอบเขตการทำงานและปฏิเสธโครงการที่ไม่สอดคล้องกับความต้องการหรือความเป็นอยู่ของตนเอง
ความเสี่ยงต่อภาวะหมดไฟในการทำงานของ Gen Y จากการทำงานหลากหลายบทบาท
แม้จะมีผลประโยชน์ดังกล่าว แต่ความเสี่ยงต่อภาวะหมดไฟยังคงเป็นประเด็นสำคัญที่ต้องตระหนัก งานวิจัยจาก Moodle เผยว่า ปัจจุบัน พนักงานชาวอเมริกันถึงสองในสาม (ร้อยละ 66) กำลังเผชิญกับภาวะหมดไฟ ซึ่งมีสาเหตุหลัก ประกอบด้วย
- ปริมาณงานที่มากเกินกว่าเวลาที่มี
- การขาดแคลนทรัพยากรและเครื่องมือที่เหมาะสมในการปฏิบัติงาน
- ความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของสภาวะเศรษฐกิจ
- การรับภาระงานมากเกินไปเนื่องจากการขาดแคลนบุคลากร
- ความกังวลเกี่ยวกับผลกระทบของปัญญาประดิษฐ์ (AI) ต่อบทบาทหน้าที่
นอกจากนี้ ผลการสำรวจของ Academized ยังชี้ให้เห็นว่า ร้อยละ 42 ของ Gen Y ที่บริหารจัดการงานหลายอย่างประสบกับภาวะหมดไฟ อันเนื่องมาจากการทำงานล่วงเวลา และ ร้อยละ 26 รายงานปัญหาความสัมพันธ์ส่วนตัว
วิธีการบริหารจัดการงานหลากหลาย เพื่อการป้องกันภาวะหมดไฟสำหรับ Gen Y
การประยุกต์ใช้กลยุทธ์เหล่านี้สามารถช่วยให้สามารถรักษาสมดุลระหว่างการปฏิบัติงานในหลากหลายบทบาทและสุขภาวะส่วนบุคคลได้อย่างยั่งยืน
การเลือกรูปแบบการทำงานที่เหมาะสม: รูปแบบการทำงานแบบพหุลักษณ์มีความหลากหลาย ควรพิจารณารูปแบบที่สอดคล้องกับสถานการณ์และเป้าหมาย ไม่ว่าจะเป็น การมีแหล่งรายได้หลักที่มั่นคงควบคู่ไปกับการดำเนินงานเสริมที่มีความหลากหลาย โดยงานพาร์ทไทม์เหล่านี้ ควรใช้ทักษะที่เกี่ยวข้องจากเดิมอยู่แล้ว
การสร้างระบบและขอบเขตที่ชัดเจน: การทำงานแบบหลายงาน (พหุลักษณ์) ที่ประสบความสำเร็จจำเป็นต้องมีการแบ่งแยกบทบาทและกำหนดขอบเขตการทำงานที่ชัดเจน รวมถึงการจัดสรรเวลา การแบ่งพื้นที่ปฏิบัติงาน และการใช้เทคโนโลยีอย่างมีประสิทธิภาพ
...
การให้ความสำคัญกับการฟื้นฟู: การจัดสรรเวลาสำหรับการพักผ่อนและการฟื้นฟูร่างกายและจิตใจเป็นสิ่งสำคัญ รวมถึงการกำหนดเวลาพักผ่อน การสร้างช่วงเวลาเปลี่ยนผ่านระหว่างบทบาท และการสังเกตระดับพลังงานของตัวเอง
การตระหนักถึงสัญญาณเตือนของภาวะหมดไฟ: การสังเกตและตอบสนองต่อสัญญาณเริ่มต้นของภาวะหมดไฟ เช่น อาการทางกาย อารมณ์ และประสิทธิภาพในการทำงานที่ลดลง
การกำหนดเป้าหมายทางการเงินที่ชัดเจน: การมีเป้าหมายทางการเงินที่ชัดเจนช่วยให้การทำงานหลากหลายบทบาทมีความยั่งยืนมากขึ้น และรู้ว่าควรหยุด และพักในเวลาใด
การเรียนรู้ที่จะปฏิเสธ: การตระหนักถึงขีดจำกัดของตนเองและการเรียนรู้ที่จะปฏิเสธงานที่ไม่สามารถรับผิดชอบได้
การให้ความสำคัญกับสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน: งานวิจัยเน้นย้ำว่า Gen Y ให้ความสำคัญกับสมดุลระหว่างชีวิตและการทำงาน หากไม่สมดุลอาจนำไปสู่การเปลี่ยนงาน
การแสวงหาความช่วยเหลือ: การขอความช่วยเหลือจากบุคคลใกล้ชิดหรือผู้เชี่ยวชาญเมื่อรู้สึกว่าไม่สามารถรับมือกับภาระงานได้
Gen Y กำลังเผชิญกับความท้าทายและโอกาสใหม่ ๆ ในโลกของการทำงานที่เปลี่ยนแปลงไป การบริหารจัดการหลากหลายบทบาทอย่างมีประสิทธิภาพ การสร้างสมดุลระหว่างความสำเร็จทางอาชีพและสุขภาวะส่วนบุคคล รวมถึงการตระหนักถึงความเสี่ยงและประยุกต์ใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสม จะเป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้ Gen Y สามารถสร้างชีวิตการทำงานที่ยั่งยืนและเติมเต็มความพึงพอใจในชีวิตส่วนตัวได้โดยปราศจากภาวะหมดไฟได้
ข้อมูล : Forbes
ภาพ : istocks