เมื่อชาว Gen Z กำลังตกอยู่ในสถานการณ์กลืนไม่เข้าคายไม่ออกกับสถานการณ์ในการทำงานที่แตกต่างจากคนรุ่นก่อน ๆ ของยุคปัจจุบัน จนตกเป็นเป้าสังเกตว่าทำไมพวกเขาเหล่านี้ลาออกจากการทำงานได้ง่ายดายเหลือเกิน ทั้งหมดคือเหตุผลที่คนรุ่นใหม่หมดไฟในการทำงานไวกว่าคนรุ่นก่อน
ปัจจุบันในยุคที่ชาว Gen Z กำลังเข้าสู่การทำงานหรือ First Jobber เป็นจำนวนมาก และกำลังเผชิญกับความท้าทายในการทำงานที่แตกต่างจากคนรุ่นก่อน ๆ ในหลายประการ ซึ่งเป็นปัจจัยสำคัญที่ทำให้พวกเขามีแนวโน้มที่จะหมดไฟในการทำงานเร็วกว่า
ลำดับแรกคือความคาดหวัง พร้อมกับค่านิยมที่เปลี่ยนไปอย่างเช่นการเน้นเรื่องของ Work-Life Balance จากคน Gen Z ที่ให้ความสำคัญกับความสมดุลระหว่างชีวิตการทำงานและชีวิตส่วนตัวมากกว่าคนรุ่นก่อน พวกเขาต้องการเวลาสำหรับพักผ่อน ดูแลตัวเอง และมีกิจกรรมยามว่างซึ่งมากขึ้นถึง 74% ตามรายงานการสำรวจของ Workmonitor 2025 จาก Randstad
การมองหางานที่มีความหมายของชาว Gen Z ทำให้พวกเขาต้องการงานที่เหมาะสม งานที่สอดคล้องกับคุณค่า ความเชื่อ ค่านิยม และอุดมการณ์ของตนเอง พวกเขาต้องการรู้สึกว่างานที่ทำนั้นมีส่วนช่วยเหลือสังคม หรือสร้างความเปลี่ยนแปลงในทางที่ดีให้แก่ตนเองได้ ดังนั้นกว่า 48% จากการรายงานของ Workmonitor 2025 ชาว Gen Z จะไม่เลือกทำงาน หรือไม่รับงานที่ไม่ตอบโจทย์กับค่านิยมที่สอดคล้องกับตนเองเท่าไหร่นัก และอีก 55% พบว่าจะลาออกทันทีหากรู้สึกว่าตนเองไม่เป็นส่วนหนึ่งขององค์กร
Gen Z เติบโตมาในยุคของเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว พวกเขาจึงคาดหวังความก้าวหน้าในอาชีพการงานที่รวดเร็วเช่นกัน และอาจรู้สึกท้อแท้หากต้องรอคอยนานก็เป็นอีกหนึ่งเหตุผลที่น่าสนใจไม่น้อย อย่างไรก็ตามพวกเขายังต้องการองค์กรที่เข้มแข็ง เป็นมิตรต่อสุขภาพกายและใจ และความเป็นอยู่ดีถึง 85% หากองค์กรที่ว่านั้นมีวัฒนธรรมที่ไม่ตอบโจทย์ คน Gen Z ประมาณ 43% มักจะลาออกเพราะว่าวัฒนธรรมองค์กรนั้นไม่เหมาะกับชีวิตของตนเอง
...
ส่วนใหญ่มักจะเป็นองค์กรที่ขาดความยืดหยุ่นในการทำงาน เช่น การทำงานจากที่บ้าน หรือการกำหนดเวลาทำงานเอง หากองค์กรยังคงยึดติดกับรูปแบบการทำงานแบบเดิม ๆ อาจทำให้พวกเขารู้สึกอึดอัดและไม่มีความสุข รวมถึงการขาดโอกาสในการเรียนรู้และพัฒนาอย่างเช่นโอกาสในการฝึกอบรม เข้าร่วมสัมมนา หรือการได้รับมอบหมายงานที่ท้าทาย และการขาดการสื่อสารที่เปิดกว้างก็ยังเป็นปัจจัยสำคัญ
ทั้งหมดอาจจะดูเป็นเรื่องที่มากไปสำหรับคนรุ่นใหม่ แต่ด้วยค่าครองชีพสูงขึ้น และความไม่แน่นอนทางเศรษฐกิจที่ชาว Gen Z ต้องเผชิญไม่ว่าจะเป็นวิกฤตเศรษฐกิจ การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง และภัยพิบัติทางธรรมชาติ สิ่งเหล่านี้ล้วนสร้างความวิตกกังวล รวมถึงรายได้เริ่มต้นอาจไม่เพียงพอต่อการดำรงชีวิต ทำให้พวกเขารู้สึกกดดันและเครียดจนเรียกร้องเพิ่มขึ้น ทั้งนี้ยังไม่รวมถึงภาระหนี้สิน เช่น หนี้ กยศ. หรือหนี้บัตรเครดิต ซึ่งเป็นอีกหนึ่งปัจจัยที่ทำให้พวกเขารู้สึกเครียดและหมดไฟในการทำงานได้ ซึ่งเป็นเหตุผลให้จำนวนค่าจ้างและเงินเดือนยังคงมีส่วนถึง 68% ในการทำงาน
ทั้งหมดไม่รวมถึงความเครียดและความกดดันจากสถานที่ทำงานทำให้ชาว Gen Z ถูกคาดหวังให้สามารถติดต่อได้ตลอดเวลา ทำให้พวกเขาต้องเผชิญกับความกดดันในการตอบสนองต่อข้อความ อีเมล และการแจ้งเตือนต่าง ๆ อย่างต่อเนื่อง นอกจากนี้ปัญหาสุขภาพจิตจากเพื่อนร่วมงาน สถานที่ทำงาน หรือวัฒนธรรมองค์กรไม่ตอบโจทย์ ทำให้ชาว Gen Z มีแนวโน้มที่จะเผชิญกับปัญหาสุขภาพจิต เช่น ภาวะซึมเศร้า และวิตกกังวลมากกว่าคนรุ่นก่อน ซึ่งปัญหาเหล่านี้ส่งผลกระทบต่อประสิทธิภาพในการทำงานและความรู้สึกหมดไฟได้ และจะลาออกหากองค์กรเหล่านี้เป็นมลพิษถึง 44%
ความท้าทายในการทำงานของชาว Gen Z นั้นแตกต่างจากคนรุ่นก่อน ๆ พวกเขาให้ความสำคัญกับ work-life balance งานที่มีความหมาย ความก้าวหน้า และสภาพแวดล้อมการทำงานที่เอื้อต่อการเรียนรู้และพัฒนา หากองค์กรไม่สามารถตอบสนองความต้องการเหล่านี้ได้ ก็อาจทำให้ชาว Gen Z รู้สึกหมดไฟและลาออกไป ซึ่งเป็นปัญหาที่องค์กรควรให้ความสำคัญ และหาแนวทางในการแก้ไข ปรับเปลี่ยนทิศทาง หาทางออกร่วมกันเพื่อเข้าสู่การทำงานยุคใหม่อย่างเต็มตัว
ข้อมูล : Workmonitor , World Economic Forum
ภาพ : istock