เปิด 10 เทคโนโลยีที่น่าจับตามองในประเทศไทย ภายในอีก 5 ปีข้างหน้า โดย วิสัยทัศน์จากศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจํานงค์ ผู้อำนวยการสํานักงานพัฒนาวิทยาศาสตร์และเทคโนโลยีแห่งชาติ (สวทช.) ที่กล่าวแถลงในงาน Thailand Tech Show 2024
ภายใต้งาน Thailand Tech Show 2024 มหกรรมแสดงเทคโนโลยีและนวัตกรรม ที่จัดโดย สวทช. ซึ่งเป็นส่วนหนึ่งของงาน “อว.Fair 2024” SCI-POWER For Future Thailand ระหว่างวันที่ 22-28 กรกฎาคม 2567 ที่ศูนย์การประชุมแห่งชาติสิริกิติ์ ได้บรรยายถึง 10 เทคโนโลยีที่มีการพัฒนาอย่างก้าวกระโดด และน่าจับตามองมากที่สุดในปีนี้
โดย 10 เทคโนโลยีดังต่อไปนี้ กำลังเข้ามาเป็นเทรนด์ของเทคโนโลยีของประเทศไทยในอนาคต ที่ถูกมองว่าจะส่งผลกระทบเป็นวงกว้าง และจะเกิดประโยชน์อย่างสูงสุดภายใน 5-10 ปี ซึ่งมีมากมายหลากหลายวงการอุตสาหกรรม เช่น อุตสาหกรรมทางการแพทย์ อุตสาหกรรมอิเล็กทรอนิกส์ รวมทั้งพลังงานทดแทน และทางชีวภาพ
...
10 เทคโนโลยีโลกที่น่าจับตามองในปี 2567
- กล้ามเนื้อเทียม (Artificial Muscle)
กล้ามเนื้อเทียม หรือกล้ามเนื้อจําลอง สร้างขึ้นเพื่อเลียนแบบการทํางานของกล้ามเนื้อจริงตามธรรมชาติของมนุษย์ โดยปัจจุบันมีความต้องการกล้ามเนื้อเทียมเพื่อนําไปใช้ในอุตสาหกรรมการแพทย์ เช่น การใช้เป็นอุปกรณ์สวมใส่ เพื่อช่วยในการฟื้นฟู หรือเสริมแรงสําหรับผู้พิการ รวมถึงการผ่าตัดแบบ microsurgery
นอกจากนี้ยังมีความต้องการนํากล้ามเนื้อเทียมไปประยุกต์ใช้ในหุ่นยนต์สําหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ อุตสาหกรรมก่อสร้าง และระบบควบคุม อัตโนมัติในงานอุตสาหกรรม (industrial automation) เพื่อให้หุ่นยนต์มีน้ําหนักเบา สามารถทํางานกับมนุษย์ได้อย่างปลอดภัย และสามารถปรับเปลี่ยนการใช้งานได้หลากหลาย
- จุลชีพในลําไส้เพื่อดูแลสุขภาพ (Human Gut Microbes for Healthcare)
เรื่องของจุลินทรีย์กำลังที่ผู้ถึงต่อสุขภาพร่างกายอย่างมากในปัจจุบัน โดยร่างกายของเราประกอบด้วยส่วนต่างๆ ของจุลินทรีย์ที่มีประโยชน์มากมาย โดยเฉพาะในลําไส้ ซึ่งถ้าขาดสมดุลของ จุลินทรีย์ที่มีประโยชน์ ก็จะทําให้เกิดโรคต่างๆ ที่พบเห็นกันได้บ่อยๆ ทั้งหมดทำให้มีผลิตภัณฑ์บริโภคมากมายในท้องตลาดที่มีจุลินทรีย์ดี ทั้งแบบพรีไบโอติก (prebiotic) โพรไบโอติก (probiotic) และซินไบโอติก (synbiotic)
โดยอนาคตอันใกล้อาจมีการใช้เชื้อจุลินทรีย์ที่ผ่านการวิศวกรรม การทดลองทางเทคโนโลยี จนได้คุณสมบัติแปลกใหม่เพิ่มเติม หรือดีกว่าเดิม เพื่อช่วยเฝ้าระวังจุลินทรีย์ชีพในลำไส้ที่ไม่ดี และก่อให้เกิดปัญหาร่างกาย ทั้งโรคตับ โรคมะเร็ง โรคอ้วน โรคหัวใจและหลอดเลือด รวมถึงโรคจากระบบทางเดินอาหาร เบาหวาน โดยใช้เทคโนโลยีเหล่านี้เข้ามาดูเรื่องสายพันธุ์ ตัดต่อสายพันธุ์ สามารถเปลี่ยนแปลงทางเคมีอะไรบ้าง
ปัจจุบันมีการเติบโตและพัฒนาการรักษาโรคอย่างเฉพาะเจาะจงนี้ด้วยผลิตภัณฑ์จุลินทรีย์ดังกล่าวอาจสร้างขึ้นได้ โดยอาศัยความรู้ที่เรียกว่า ชีววิทยาสังเคราะห์ (Synthetic Biology) ซึ่งใช้หลักการทางวิศวกรรมชีวเคมี ในการออกแบบและสร้างระบบชีวภาพ จนได้เป็น “วงจรยีน (gene circuit)” ในเซลล์ซึ่งเปิด-ปิดการทํางานของยีนบางอย่างได้อย่างจําเพาะ โดยอาศัยการตอบสนองสัญญาณหรือตัวกระตุ้นจากสิ่งแวดล้อม ทําให้สามารถแจ้งเตือน การเกิดโรค หรือสามารถย่อยสลายสารพิษ หรือรักษาโรคได้อีกด้วย
- แฝดดิจิทัลในการดูแลสุขภาพ (Digital Twin in Healthcare)
จะดีแค่ไหน หากเรารู้ผลการรักษาก่อนการรักษาจริง สามารถปรับวิธีการรักษาให้เหมาะสมกับเราที่สุด หรือแม้แต่สามารถประเมินความเสี่ยงการเป็นโรคต่างๆ ของเราได้ล่วงหน้า
ปัจจุบันมีบริษัทในประเทศสหรัฐอเมริกาได้พัฒนา Digital Twin Platform สําหรับดูแลผู้ป่วยโรคเบาหวาน โดยจําลองระบบการเผาผลาญ พลังงานของผู้ป่วยจากข้อมูลต่างๆ ของผู้ป่วย และบริษัทในประเทศสิงคโปร์ ได้พัฒนาระบบทํานายความเสี่ยงใน การเป็นโรคไตเรื้อรังของผู้ป่วยเบาหวาน โดยใช้แบบจําลอง AI ที่ประมวลผลจากข้อมูลประวัติทางการแพทย์ต่างๆ ของผู้ป่วย โดยในส่วนของประเทศไทยมีแนวโน้มที่บริษัทชั้นนําทางด้านเทคโนโลยีการแพทย์ รวมทั้งบริษัท health-tech startup ที่จะนําเทคโนโลยีนี้ เข้ามาใช้งานในประเทศไทยในอนาคต
- การพัฒนาซอฟต์แวร์แบบเอไอเสริม (AI-Augmented Software Development)
ความก้าวหน้าของ Generative AI และ Machine Learning เปิดโอกาสให้นักพัฒนาซอฟต์แวร์สามารถ นํา AI มาใช้ในกระบวนการออกแบบ สร้าง ทดสอบ รวมไปถึงการวางตลาดแอปพลิเคชัน และซอฟต์แวร์ต่างๆ อย่างรวดเร็วมากขึ้น ประมาณการณ์กันว่าจะมีการยกระดับผลิตภาพ (productivity) ของการทําซอฟต์แวร์และ แอปพลิเคชันใหม่ๆ ราว 35-45% ไปพร้อมๆ กับการลดต้นทุนได้ถึง 20% โดยใช้เวลาที่สั้นลงอีกด้วย ท้ังนี้คาดว่า ภายในปี พ.ศ. 2571 วิศวกรซอฟต์แวร์หรือโปรแกรมเมอร์ในองค์กรราว 75% จะใช้ AI ช่วยในการเขียนโค้ด เทียบกับปัจจุบันที่ยังทําเช่นนี้น้อยกว่า 10%
...
- เทคโนโลยีอุปกรณ์สวมใส่ติดเอไอ (AI Wearable Technology)
ปัจจุบันเริ่มมีอุปกรณ์สวมใส่บนร่างกายที่ใช้เทคโนโลยี AI เพิ่มมากขึ้น เช่น สมาร์ทวอตช์ ทําให้สามารถเก็บข้อมูลแบบเรียลไทม์ผ่านเซนเซอร์แบบไบโอเมทริก (biometric sensor) ซึ่งเมื่อนําข้อมูลดังกล่าวไปวิเคราะห์ด้วยอัลกอริทึม แบบ Deep learning ก็ทําให้ได้ข้อมูลเชิงลึก ข้อเสนอแนะ และคําแนะนําต่างๆ ที่แม่นยําแก่ผู้ใช้งานได้ โดย อุปกรณ์สวมใส่ AI รุ่นใหม่ๆ จะทํางานรวดเร็วขึ้น และทํางานได้อย่างแม่นยําเที่ยงตรงมากขึ้น
ปัจจุบัน ทีม A-MED สวทช. ได้พัฒนาระบบเซนเซอร์อัจฉริยะสําหรับสนับสนุนการดูแลผู้สูงอายุและ ผู้ป่วย เพื่อตรวจจับอิริยาบถ และการเคลื่อนไหวที่ผิดปกติ รวมไปถึงท่านอน การล้ม และตําแหน่งที่เกิดเหตุภายในอาคาร พร้อมแสดงผลและแจ้งเตือนผู้ดูแลแบบเรียลไทม์
- เทคโนโลยีคุ้มครองความเป็นส่วนตัวของข้อมูล (Privacy-Enhancing Technologies, PETs)
การเก็บข้อมูลในคลาวด์และการใช้ IoT มีบทบาทมากขึ้น แต่การรั่วไหลของข้อมูลสําคัญอาจเกิดขึ้นได้ตลอดเวลา เทคโนโลยีคุ้มครองความเป็นส่วนตัวของข้อมูล (Privacy-Enhancing Technologies, PETs) จึงมีความสําคัญในการช่วยคุ้มครองความเป็นส่วนตัวของข้อมูล ตั้งแต่ต้นทางจนถึงปลายทาง ผ่านการเข้ารหัสแบบใหม่ ที่ทําให้ข้อมูลประมวลผลบนคลาวด์ได้ “โดยไม่ต้องถอดรหัส” ในบางประเทศมีการนําเทคโนโลยี PETs มา ให้บริการแล้วในวงการการเงิน สุขภาพ และทรัพยากรบุคคล
...
ตัวอย่างของประเทศไทย โดย เนคเทค สวทช. ได้พัฒนาเทคโนโลยี PETs ให้ใช้กับแพลตฟอร์ม IoT สําหรับภาคอุตสาหกรรม ซึ่งสอดคล้องกับนโยบาย Industry 4.0 ของประเทศในชื่อ ไซบิลเลี่ยน (CYBLION) ที่ช่วยทําให้การคํานวณข้อมูลของโรงงานอุตสาหกรรมบนคลาวด์ทําได้อย่างปลอดภัย โดยเนคเทค ได้ทดสอบใช้งานจริงในโรงงานธนากรผลิตน้ำมันพืชจํากัด (น้ำมันพืชกุ๊ก) แล้ว
- หุ่นยนต์รักษาความปลอดภัย (Security Robot)
เทคโนโลยีหุ่นยนต์ (robotics) เป็นหนึ่งในเทคโนโลยีที่น่าจับตามอง ปัจจุบันมีการใช้งานหุ่นยนต์รักษา ความปลอดภัยแล้วในหลายประเทศ ตลาดโลกของหุ่นยนต์รักษาความปลอดภัย ประเมินกันว่าอาจจะสูงถึง 71,800 ล้านเหรียญในปี พ.ศ. 2570 โดยมีอัตราการเติบโตต่อปีอยู่ที่ 17.8% ขณะที่เฉพาะในแถบเอเชียแปซิฟิกสูง ถึงเกือบ 20% โดยปัจจัยกระตุ้นสำคัญ คือ ความต้องการเทคโนโลยีนี้ในทางทหารและการป้องกันประเทศเป็นหลัก
ในส่วนของ สวทช.มีองค์ความรู้ด้านหุ่นยนต์ ระบบอัตโนมัติ ระบบสื่อสาร และ AI ทำให้สามารถบูรณาการองค์ความรู้ในการวิจัยและพัฒนาเพื่อสร้างหุ่นยนต์รักษาความปลอดภัยได้ ตรงตามความต้องการของผู้ใช้งาน มากที่สุด การที่มีระบบฐานข้อมูล ระบบควบคุมและประมวลผลที่พัฒนาขึ้นเอง จึงมั่นใจได้ในเรื่องความปลอดภัย ของข้อมูลลูกค้า
- เทคโนโลยีรีไซเคิลแบตเตอรี่แบบโดยตรง (Direct Battery Recycling Technology)
การมุ่งสู่สังคมคาร์บอนต่ำ ทําให้มีความต้องการแบตเตอรี่มากขึ้น โดยเฉพาะแบบลิเทียมไอออน เพราะมีการใช้กับ ยานยานยนต์ไฟฟ้าอย่างแพร่หลายในปัจจุบัน
ช่วงหลายปีที่ผ่านมามีอัตราความต้องการแบตเตอรี่ลิเทียมไอออนเติบโต มากกว่า 25% ต่อปี โดยคาดว่าจะเพิ่มขึ้นเป็น 10 เท่าในปี พ.ศ. 2573 จึงเกิดความต้องการเทคโนโลยีรีไซเคิลที่มีประสิทธิภาพสูง ซึ่งกระบวนการรีไซเคิลแบตเตอรี่ปัจจุบันมักอาศัยความร้อนสูง หรือใช้กระบวนการที่ต้องใช้ สารเคมีที่เป็นพิษ ความพยายามหลีกเลี่ยงกระบวนการทั้งสองแบบนี้นำมาสู่ “เทคโนโลยีรีไซเคิลแบตเตอรี่แบบ โดยตรง” ที่ลดการใช้พลังงาน และลดการปล่อยก๊าซเรือนกระจก เนื่องจากอาศัยกระบวนการทางกายภาพในการ ร่อน ตัด ย่อย บด และคัดแยกนำสารเพื่อนำกลับมาใช้สร้างเป็นขั้วแคโทด (cathode) ของแบตเตอรี่ขึ้นใหม่ โดยประเมินกันว่าเทคโนโลยีแบบนี้อาจไปถึงจุดที่มีความสามารถในการนําชิ้นส่วนกลับมาใช้ได้มากถึง 90% อีกทั้งจะสามารถลดความต้องการสินแร่ใหม่เพื่อนํามาผลิตแบตเตอรี่ได้มากกว่า 25% ในปี พ.ศ. 2573
...
- ไฮโดรเจนเพื่อการขับเคลื่อน (H2 for Mobility)
เรื่องของไฮโดรเจนเป็นที่พูดถึงอย่างกว้างขวาง โดยรถยนต์ปัจจุบันกำลังค่อยๆ เปลี่ยนจากรถยนต์สันดาปภายในไปเป็นรถยนต์ไฟฟ้ามากขึ้นเรื่อยๆ คาดกันว่าพลังงานจากไฮโดรเจนจะเป็นอีกตัวเลือกของพลังงานอนาคต ในส่วนของประเทศไทยมีศักยภาพในการผลิตไบโอไฮโดรเจน (biohydrogen) จากพื้นฐานความเป็นประเทศเกษตรกรรมที่มีสารตั้งต้นจากก๊าซมีเทนในมูลสัตว์หรือ ชีวมวลต่างๆ ที่จัดเป็นกรีนไฮโดรเจน (green hydrogen) แบบหนึ่ง
ทั้งหมดอาจนำมาผ่านกระบวนการทางเคมีต่างๆ จนได้ผลิตภัณฑ์เป็นไฮโดรเจนออกมาในที่สุด ต้นทุนการผลิตไบโอไฮโดรเจนก็มีแนวโน้มลดลงอย่างต่อเนื่อง กระบวนการผลิตไฮโดรเจนแบบนี้ ลดการสร้างคาร์บอนฟุตพรินต์ (carbon footprint) และนำมาขายเป็น คาร์บอนเครดิต (carbon credit) ของประเทศไปพร้อมๆ กันได้อีกด้วย
- การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำด้วยระบบน้ำหมุนเวียน (Next Generation of Recirculating Aquaculture System: RAS)
การเพาะเลี้ยงสัตว์น้ำของประเทศไทยมีมูลค่ามากกว่าแสนล้านบาทต่อปี แต่การเพาะเลี้ยงด้วยวิธีการดั้งเดิม เช่น การเลี้ยงในบ่อดิน การเลี้ยงในกระชัง มีข้อเสียหลายประการ เช่น ใช้น้ำมาก และสร้างมลพิษทางน้ำ เสี่ยงต่อการเกิดโรคสัตว์น้ำ เนื่องจากการเปลี่ยนแปลงของสภาพแวดล้อม
เทคโนโลยี RAS เป็นการเลี้ยงแบบใช้ น้ำหมุนเวียน โดยมีการบำบัดของเสียออกจากน้ำ และเติมออกซิเจนให้กับน้ำ มีข้อดี คือ ไม่ต้องเปลี่ยนถ่ายน้ำ สามารถเลี้ยงสัตว์น้ำได้อย่างหนาแน่นในพื้นที่น้อย สามารถควบคุมสภาวะการเลี้ยง และมีการติดตามปัจจัยต่างๆ ได้ดีกว่าวิธีการแบบเดิม จึงลดความเสี่ยงจากโรคสัตว์น้ำได้มาก
ในประเทศไทย สวทช.ได้พัฒนาระบบ RAS สําหรับกุ้ง และปลากะพงซึ่งเป็นสัตว์น้ำเศรษฐกิจที่สําคัญของประเทศไทย ระบบที่พัฒนาขึ้นมีราคาที่ถูกลงกว่าในท้องตลาด ทำให้คืนทุนได้เร็วและสามารถควบคุมระบบการเลี้ยงได้ง่ายขึ้น
ศาสตราจารย์ ดร.ชูกิจ ลิมปิจํานงค์ ผู้อํานวยการ สวทช. กล่าวว่า “จากทั้ง 10 เทคโนโลยีที่น่าจับตา มองในปี 2567 ครึ่งหนึ่งเป็น digital technology และมี AI ร่วมอยู่ด้วย แสดงให้เห็นถึงการมาถึงของยุค AI ได้ เป็นอย่างดี ขณะที่มีอยู่ 3 เทคโนโลยีที่เกี่ยวข้องกับสุขภาพ กับอีก 2 เทคโนโลยีเกี่ยวข้องกับด้านพลังงาน และอีก 1 เทคโนโลยีเกี่ยวข้องกับด้านการประมง คาดหวังว่าข้อมูลทั้งหมดนี้จะเป็นประโยชน์ ทั้งในแง่ของข้อมูลเทรนด์โลก ที่ควรให้ความสนใจ และในแง่ข้อมูลการตลาดเบื้องต้นเพื่อเปิดโอกาสภาคธุรกิจที่สนใจ ได้มีโอกาสเข้าไปลงทุนใน ธุรกิจเทคโนโลยีใหม่ๆ อย่างเหมาะสมต่อไป”
“โดยเทคโนโลยีที่คาดการณ์ทั้งหมดมาจากการร่วมมือจากนักวิจัยที่เข้ามาวิเคราะห์คาดการณ์ในทุกๆ ปี โดยคำนึงถึงสิ่งที่สามารถเกิดขึ้นได้ในประเทศไทย และเป็นประโยชน์สำคัญต่อการใช้ชีวิตคนไทย”
“แน่นอนว่าปัจจุบันเราอาจเห็นเครื่องมือเหล่านี้อยู่บ้าง โดยเทคโนโลยีเหล่านี้จะสามารถเข้ามาปฏิวัติการดำรงชีวิตเป็นอยู่ดีของคนไทยให้เกิดประสิทธิภาพสูงสุด ข้อมูลข่าวสารเหล่านี้จะก่อประโยชน์ต่อคนในประเทศ อุตสาหกรรม และโอกาสทางการค้า ซึ่งจะก่อผลกระทบเชิงบวกให้ประเทศเป็นอย่างมาก” ผู้อํานวยการ สวทช. กล่าวปิด