การ “มูเตลู” หรือการเชื่อเรื่องโชคลางต่างๆ คือส่วนหนึ่งของวิถีชีวิตสังคมไทยมายาวนานหลายยุคสมัย และด้วยช่วงวัยที่แตกต่างกันก็ส่งผลถึงพฤติกรรมการมูที่ต่างกันด้วย มาดูกันว่าคนแต่ละเจเนอเรชันมองเรื่องการมูเตลูไว้อย่างไร

สถาบันวิจัยความเป็นอยู่ฮาคูโฮโด อาเซียน (ประเทศไทย) ได้ทำการสำรวจพฤติกรรมคนไทยทั้งผู้ชายและผู้หญิง อายุระหว่าง 20-59 ปี จำนวน 1,200 คน ใน 6 ภูมิภาคทั่วประเทศ ในหัวข้อ “My Gen My Mu มูต่างวัย มองต่างมุม” พบว่ามีถึง 88% ยอมรับเชื่อเรื่องการมู และ 52% มองว่าเรื่องการมูเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ และเป็นเรื่องส่วนบุคคล โดยเน้นการขอพรเพื่อตัวเองมากกว่าเพื่อครอบครัวถึง 65% ซึ่งเป็นการขอพรในเรื่องที่ตนเองกังวลใจ หรือต้องการความช่วยเหลือ ซึ่งอาจเป็นเรื่องที่พูดกับคนอื่นไม่ได้

ผู้หญิงกับผู้ชาย มีจุดหมายการมูที่ต่างกัน

ด้วยสัญชาตญาณ และความต้องการที่จะเป็นผู้นำของผู้ชาย พวกเขาจึงมีแนวโน้มต้องการแค่คนรับฟังเพื่อระบายความทุกข์ในใจ ต่างจากผู้หญิงที่มักมีการพูดคุยแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกับคนอื่นบ่อยกว่า จึงต้องการมูเพื่อหาคนฟันธงเพิ่มความเชื่อมั่นเพื่อช่วยตัดสินใจเลือกทางที่ดีที่สุด

เหตุผลที่ผู้หญิงส่วนใหญ่ชอบดูดวงก็เพราะต้องการให้หมอดู หรือการเปิดไพ่ช่วยตัดสินใจแทนในสิ่งที่ตนเองยังเลือกไม่ได้ ภาพจาก iStock
เหตุผลที่ผู้หญิงส่วนใหญ่ชอบดูดวงก็เพราะต้องการให้หมอดู หรือการเปิดไพ่ช่วยตัดสินใจแทนในสิ่งที่ตนเองยังเลือกไม่ได้ ภาพจาก iStock

...

คนไทยขอพรเรื่องอะไรมากที่สุด

เรื่องเงินมาเป็นอันดับ 1 ในคนทุกเจน อยู่ที่ 44% เพราะคนไทยเน้นมูเรื่องเงินและโชคลาภ ในขณะที่เรื่องการทำงานกลับไปอยู่อันดับที่ 4 ซึ่งอาจบ่งชี้แนวความคิด “งานไม่เท่ากับเงิน ทำงานหนักเท่าไรก็อาจไม่พอ” สะท้อนภาพความเหลื่อมล้ำทางเศรษฐกิจของสังคมไทย

การซื้อหวยคือความหวังทุกต้นเดือนและกลางเดือนของคนไทยหลายคนว่าตนเองจะมีโชคถูกหวยกับเขาบ้าง ภาพจาก iStock
การซื้อหวยคือความหวังทุกต้นเดือนและกลางเดือนของคนไทยหลายคนว่าตนเองจะมีโชคถูกหวยกับเขาบ้าง ภาพจาก iStock

เรื่องโชคลาภมาแรงเป็นอันดับ 2 อยู่ที่ 17% เพราะคนไทยจำนวนมากเชื่อว่าชีวิตถูกลิขิตมาแล้ว หากต้องการเปลี่ยนแปลงแบบพลิกฝ่ามือ คงต้องพึ่งพลังการมูมาช่วยเสกโชคลาภให้ชีวิตดีขึ้น โดยความต้องการยอดฮิตคืออยากถูกหวย ซึ่งเป็นทั้งความสนุก และความหวังที่หล่อเลี้ยงจิตใจในทุกเดือน

บทบาทการมูเตลูของคนไทย

  • 52% ของคนไทยให้การมูเป็นเครื่องยึดเหนี่ยวจิตใจ
  • 21% เสริมความมั่นใจ
  • 13% เป็นผู้บันดาลสิ่งที่ต้องการ
  • 6% เป็นผู้รับฟัง
  • 4% เป็นผู้ชี้แนะ

30% ของคนไทยเน้นมูแอ็กชันรอเทพบันดาลผล

เมื่อถามว่าจะทำอย่างไรเพื่อให้คำอธิษฐานเป็นจริงได้มากขึ้น 30% มองว่าการมูเตลูบูชาก็เพียงพอแล้วที่จะทำให้เขาได้มาซึ่งสิ่งต่างๆ ตามความปราถนาจากสิ่งศักดิ์สิทธิ์ นั่นอาจหมายความว่าพวกเขาไม่เชื่อว่าการกระทำของตนเองจะช่วยเปลี่ยนสถานการณ์ได้ เพราะเชื่อว่าชีวิตถูกลิขิตมาแล้ว หรืออีกนัยหนึ่งคือเชื่อในพลังสิ่งศักดิ์สิทธิ์มากกว่าการลงมือทำ

พฤติกรรมการมูของแต่ละเจเนอเรชัน

Gen X: The Ritual Believer #มูแบบtraditional

คน Gen X หรือผู้คนที่อยู่ในช่วงอายุ 43-58 ปี เป็นช่วงวัยที่เติบโตในช่วงเริ่มต้นทุนนิยมในไทย ยืนหนึ่งเรื่องความพยายาม เน้นการยึดหลักปฏิบัติและธรรมเนียมที่มีมาแต่รุ่นก่อน และมองว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นเรื่องนี้ภูมิใจ เมื่อถามถึงการมูเตลูของคน Gen X จึงเน้นเรื่องการสวดมนต์ ไหว้พระ ทำบุญทำทาน โดยมองว่าเรื่องเหล่านี้เป็น “Booster” เสริมความหวังและกำลังใจให้แก่ตนเอง

...

การมูแบบชาว Gen X คือการสวดมนต์ เข้าวัด ทำบุญตักบาตร ที่เชื่อถือส่งต่อมาจากรุ่นพ่อรุ่นแม่ ภาพจาก iStock
การมูแบบชาว Gen X คือการสวดมนต์ เข้าวัด ทำบุญตักบาตร ที่เชื่อถือส่งต่อมาจากรุ่นพ่อรุ่นแม่ ภาพจาก iStock

และด้วยช่วงอายุที่มากขึ้น ทำให้ชาว Gen X มีการมูเตลูเพื่อขอเรื่องสุขภาพมากกว่าเจเนอเรชันอื่นๆ เพราะการมีสุขภาพที่ดีคือการเพิ่มความมั่นใจว่าชีวิตจะไม่สะดุด สามารถลุยงาน และเอนจอยชีวิตได้อย่างเต็มที่ และยังลดความเสี่ยงในการเป็นภาระของคนรอบข้างอีกด้วย

Gen Y: The Curated Explorer #มูที่ใช่ไร้ขีดจำกัด

คน Gen Y มีคาเรกเตอร์เฉพาะตัวคือ เปิดรับ และปรับตัวเก่ง เนื่องจากคนในช่วงอายุ 27-42 ปี เติบโตมาในช่วงจุดเปลี่ยนทางเศรษฐกิจที่สำคัญ อีกทั้งยังเป็นยุครอยต่อระหว่าง analog-to-digital จึงมีการเปิดรับ และปรับตัวกับสิ่งใหม่ๆ ได้เป็นอย่างดี คน Gen Y จึงเปิดกว้างให้กับความศรัทธาแบบไร้ขีดจำกัด ได้ทุกศาสนาและความเชื่อ ที่จะสามารถมอบผลลัพธ์ในสิ่งที่ตัวเองต้องการแบบเฉพาะเรื่องได้ ซึ่งเปรียบเสมือนเป็นผู้นำที่คอยนำทางและนำพาสิ่งดีๆ ให้กับชีวิต

...

Gen Y เปิดรับทุกความเชื่อและความศรัทธาในหลายๆ ศาสนาทั่วโลก ไม่จำกัดแค่ศาสนาพุทธเท่านั้น ภาพจาก iStock
Gen Y เปิดรับทุกความเชื่อและความศรัทธาในหลายๆ ศาสนาทั่วโลก ไม่จำกัดแค่ศาสนาพุทธเท่านั้น ภาพจาก iStock

ขณะเดียวกันคน Gen Y ถือเป็นช่วงอายุที่เป็นวัยสร้างตัว จึงมักได้ชื่อเล่นว่าเป็น ‘เดอะแบก’ มีภาระหน้าที่ที่ต้องดูแลทั้งพ่อแม่และครอบครัวของตัวเอง ดังนั้นจึงโฟกัสกับการเงินและการงานมากกว่า Generation อื่น เพื่อความมั่นคงและก้าวหน้าในชีวิต ซึ่งหากสามารถทำตรงนี้ได้ดีจะเป็นการเพิ่มความภูมิใจ และ self-esteem ของพวกเขาอีกด้วย

Gen Z: The Minimal Integrator #มูแบบมินิมอล

Gen Z หนุ่มสาวรุ่นใหม่ที่ปรับเปลี่ยนวิถีการมู ให้มา blend in แบบเนียนๆ อยู่ในรูปแบบของแฟชั่น และสีสันในชีวิตประจำวัน เนื่องจากผู้ที่อยู่ในช่วงอายุ 11-26 ปี เติบโตในยุคดิจิตอลพร้อมปรับเปลี่ยน เพื่อสิ่งใหม่ๆ และเอนจอยชีวิตได้ทุกสถานการณ์

...

เครื่องประดับสายมูชิ้นเล็กๆ เป็นการมูแบบไม่ตะโกนที่ถูกใจชาว Gen Z ภาพจาก iStock
เครื่องประดับสายมูชิ้นเล็กๆ เป็นการมูแบบไม่ตะโกนที่ถูกใจชาว Gen Z ภาพจาก iStock

การมูที่ชาว Gen Z นำมาปรับใช้เพื่อเป็นกิมมิคทั้งในด้านการซัพพอร์ตและฮีลใจนั้น ไม่ว่าจะเป็น การเลือกสวมใส่เสื้อผ้าสีมงคล เครื่องประดับมงคลชิ้นเล็กๆ หรือแม้แต่วอลเปเปอร์บนหน้าจอโทรศัพท์มือถือ ก็เช่นกัน การงานและการเรียนคือสิ่งที่ชาว Gen Z ขอจากการมูเตลูมากกว่าเจเนอเรชันอื่นๆ เนื่องจากคนกลุ่มนี้ยังอยู่ทั้งในวัยเรียน และกำลังก้าวเข้าสู่วัยทำงาน ซึ่งถือเป็นช่วงเวลาสำคัญในการค้นหาตัวเอง เลือกทางเดินในการมีอาชีพ และรายได้ที่มั่นคง เพื่ออนาคตที่สดใสและชีวิตที่ดีกว่าเดิม

การทำผลการศึกษาในครั้งนี้ ดวงแก้ว ไชยสุริวิรัตน์ รองผู้อำนวยการฝ่ายวางแผนกลยุทธ์ ได้แจกแจงและให้คำแนะนำแก่แบรนด์ ที่ต้องการนำผลการศึกษาในครั้งนี้ไปปรับเป็นกลยุทธ์ให้เข้ากับแบรนด์ของตนเองเพื่อก่อให้เกิดความน่าสนใจ ไว้ 3 กลยุทธ์หลัก คือ

1. Gen X: Empowering Muketing “เติมพลังใจ เพิ่มพลังกายคนสายมู”

เติมพลังให้กับชาว Gen X ด้วยการเน้นการส่งเสริมไลฟ์สไตล์ที่ดีต่อสุขภาพให้กับคนกลุ่มนี้เป็นหลัก โดยสามารถเพิ่มความน่าสนใจและคุณค่าในแง่ของความสุขทางใจ ด้วยกิจกรรมมูเตลูที่พวกเขาคุ้นเคย เช่น จัดอีเวนต์ “กิจกรรมเดิน-วิ่ง 9 วัด” ที่ให้คน Gen X ได้สวดมนต์ ทำบุญขอพร และได้ออกกำลังกายไปพร้อมๆ กัน หรือจัดทำ “Packaging บทสวดมนต์/บทอวยพรมงคล” ที่ทำให้พวกเขาสามารถสวดเพิ่มกำลังใจได้ทุกที่ทุกเวลา เป็นต้น แต่อย่างไรก็ตามแบรนด์ควรคำนึงถึงขอบเขต และความเหมาะสมตามธรรมเนียมและวิถีปฏิบัติที่ชาว Gen X ยึดถือด้วย

การสวดมนต์ข้ามปี เป็นกิจกรรมที่ถูกใจชาว Gen X เป็นอย่างมาก ภาพจาก iStock
การสวดมนต์ข้ามปี เป็นกิจกรรมที่ถูกใจชาว Gen X เป็นอย่างมาก ภาพจาก iStock

2. Gen Y: Embracing Muketing “เปิดประสบการณ์มูแบบใหม่ๆ เอาใจคนชอบลอง”

คน Gen Y มีนิสัยเปิดกว้าง ชอบลองของใหม่ ชอบโพสต์ และแชร์ชีวิตแบบฮิปๆ ของตัวเอง ดังนั้นแบรนด์อาจ recommend การมูแบบใหม่ๆ ที่ไม่มีมาก่อน โดยยึดหลัก “จุดประสงค์ชัด ประสบการณ์ใหม่ ถ่ายรูปสวย” เช่น “Meet and Mu” ทริปมูเตลูที่เน้น new spot ทั้งในและนอกประเทศ พร้อมการ tie-in สินค้า หรือบริการของแบรนด์ นอกจากจะได้มูตามศรัทธาแล้ว ยังเป็นโอกาสที่จะได้เที่ยวและพบปะเพื่อนใหม่ๆ คอเดียวกัน และยังได้รูปสวยๆ ไปโพสต์ได้ด้วย แต่ท้ายที่สุดแบรนด์ควรระวังความถูกต้องชัดเจนของข้อมูลต่างๆ เพราะคนเจเนอเรชันนี้ชอบค้นหา และแชร์ข้อมูลกับคนรอบข้าง

ทริปมูเตลู มักจะถูกใจชาว Gen Y เพราะได้ทั้งไปเที่ยวเปิดประสบการณ์และได้ไปมู พร้อมทั้งได้รูปสวยๆ กลับมาแชร์บนโซเชียล ภาพจาก iStock
ทริปมูเตลู มักจะถูกใจชาว Gen Y เพราะได้ทั้งไปเที่ยวเปิดประสบการณ์และได้ไปมู พร้อมทั้งได้รูปสวยๆ กลับมาแชร์บนโซเชียล ภาพจาก iStock

3. Gen Z: Embellish Muketing “Mu-nimalistic เอาใจคนรุ่นใหม่”

“มูแบบไม่ตะโกน” คือวิธีการมูที่ถูกจริตชาว Gen Z ที่สุด แบรนด์สามารถเพิ่ม occasion ในการ connect กับคน Gen Z ได้ด้วยการเสริมเรื่องราวมูเตลูที่ “ดูดีมีสไตล์” และ “เอนจอยร่วมกันกับเพื่อนๆ ได้” ให้กับสินค้าหรือบริการ เช่น จัดแพคสินค้าสีมงคลสำหรับทุกๆ วัน หรือ “สติกเกอร์ God-vengers รวมพลังเทพครบเซต” อีกทั้งยังควรเปิดโอกาสให้คน Gen Z ได้ “Mu - Mix – Match” ในแบบของตัวเองได้อย่างเต็มที่ เช่น สินค้าแฟชั่น/accessories หรือกลุ่มบิวตี้ ที่มี color palette เป็น “สีมงคลพาสเทล” เสริมความสนุกและความมั่นใจ ให้กับพวกเขาทั้งในชีวิตประจำวันและโลกออนไลน์

เครื่องสำอางสีมงคลเสริมความมูมักจะได้รับความนิยมในกลุ่มวัยรุ่น Gen Z ภาพจาก iStock
เครื่องสำอางสีมงคลเสริมความมูมักจะได้รับความนิยมในกลุ่มวัยรุ่น Gen Z ภาพจาก iStock

ถึงแม้ว่าการมูเตลูจะอยู่ในวิถีชีวิตสังคมไทยมายาวนานหลายเจเนอเรชัน แต่พฤติกรรมการมูของคนแต่ละเจนก็แตกต่างกันอย่างเห็นได้ชัด เนื่องจากคนแต่ละยุคสมัยต่างมีมุมมอง และการกระทำที่ไม่เหมือนกัน ถึงแม้จะเป็นเรื่องเดียวกันก็ตาม ซึ่งสิ่งเหล่านี้เกิดมาจากภูมิหลังของชีวิต ปัจจัยเศรษฐกิจ สังคม และปัจจัยอื่นๆ อีกมากมาย และสิ่งเหล่านั้นมีส่วนสำคัญในการหล่อหลอมชีวิตความเป็นอยู่ของคนไทยในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี.