ประวัติของผ้าขาวม้ากลายเป็นที่สนใจมากขึ้น จากการที่ นายเศรษฐา ทวีสิน นายกรัฐมนตรีและ รมว.กระทรวงการคลัง นำผ้าขาวม้ามาใช้เป็นผ้าพันคอขณะเดินทางไปดูงานที่ประเทศฝรั่งเศส เพื่อสื่อถึงการนำภูมิปัญญาท้องถิ่นของไทยมาใช้เป็นซอฟต์พาวเวอร์ให้ชาวต่างชาติได้เห็น 

ผ้าขาวม้า เป็นผ้าทอพื้นบ้านสารพัดประโยชน์ที่คนไทยใช้ในชีวิตประจำวัน มีลักษณะเป็นรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า กว้างประมาณ 2 ศอก ยาวประมาณ 3-4 ศอก มักทอเป็นลายตารางเล็กๆ โดยใช้ด้ายหลากสี ใช้เส้นใยฝ้ายหรือเส้นใยไหม แต่ผ้าขาวม้าส่วนมากนิยมทอจากเส้นใยฝ้าย ผ้าขาวม้าในประเทศไทยมีชื่อเรียกแตกต่างกันไปตามแต่ละท้องถิ่น รวมถึงสีและลวดลาย ซึ่งขึ้นกับความนิยมของแต่ละท้องถิ่นด้วยเช่นกัน

ภาพจาก iStock
ภาพจาก iStock

ประวัติผ้าขาวม้า

แม้ว่าเราจะรู้จัก “ผ้าขาวม้า” ในฐานะผลิตภัณฑ์ท้องถิ่นจากภูมิปัญญาพื้นบ้านของไทย แต่สันนิษฐานจากข้อมูลทางวิชาการจากหลายส่วน กล่าวว่า ผ้าขาวม้าไม่ใช่คำไทยแท้ แต่เป็นภาษาเปอร์เซีย ที่มีคำเต็มว่า “กามาร์บันด์” (Kamar band) “กามาร์” หมายถึง เอว หรือ ท่อนล่างของร่างกาย “บันด์” แปลว่า พัน รัด หรือ คาด เมื่อนำทั้งสองคำมารวมกัน จึงหมายถึง เข็มขัด ผ้าพัน หรือ คาดสะเอว คำว่า “กามาร์บันด์” ยังปรากฏอยู่ในภาษาอื่นๆ อีก เช่น ภาษามลายู มีคำว่า “กามาร์บัน” (Ka-marban) ภาษาฮินดีมีคำว่า “กามาร์บันด์” (Kamar band) และในภาษาอังกฤษมีคำว่า “คัมเมอร์บันด์” (Commerband) หมายถึง ผ้ารัดเอวในชุดทัคซิโด้ (Tuxedo) ซึ่งเป็นชุดสำหรับออกงานราตรีสโมสร

...

คนไทยรู้จักการใช้ผ้าขาวม้าตั้งแต่สมัยเชียงแสน และใช้กันต่อเนื่องยาวนานจนถึงปัจจุบัน ภาพจาก iStock
คนไทยรู้จักการใช้ผ้าขาวม้าตั้งแต่สมัยเชียงแสน และใช้กันต่อเนื่องยาวนานจนถึงปัจจุบัน ภาพจาก iStock

จากหลักฐานข้อมูลที่ปรากฏจากแหล่งต่างๆ แสดงให้เห็นว่าผ้าขาวม้าเป็นผ้าโบราณที่ใช้ประโยชน์กันมานาน คนไทยรู้จักใช้ผ้าขาวม้ามาตั้งแต่ สมัยพุทธศตวรรษที่ 16 หากนับเวลาย้อนไป จะตรงกับยุคสมัยเชียงแสน ในยุคนี้ผู้หญิงมักนุ่งผ้าถุง ส่วนผู้ชายเริ่มใช้ผ้าเคียนเอว (คาดเอว) ซึ่งได้วัฒนธรรมมาจากไทยใหญ่ (ชาวไทยใหญ่ใช้โพกศีรษะ) ส่วนไทยเราในขณะนั้นเมื่อเห็นประโยชน์ของผ้า จึงนำมาใช้บ้าง แต่เปลี่ยนมาเป็นผ้าเคียนเอว เมื่อเดินทางไกลจึงนำมาใช้เพื่อประโยชน์ต่างๆ เช่น ใช้ห่ออาวุธ ห่อเก็บสัมภาระในการเดินทาง ใช้ปูเป็นที่นอน ใช้นุ่งอาบน้ำ ใช้เช็ดร่างกาย เป็นต้น

หลักฐานที่แสดงว่าคนไทยเริ่มใช้ผ้าขาวม้าในสมัยเชียงแสน มีปรากฏให้เห็นจากภาพจิตรกรรมฝาผนังที่ วัดภูมินทร์ จังหวัดน่าน และเมื่อดูการแต่งกายของ หญิง-ชาย ไทยในสมัยอยุธยา จากภาพจิตรกรรมในสมุดภาพ “ไตรภูมิสมัยอยุธยา” เขียนขึ้นราวต้นศตวรรษที่ 22 จะเห็นได้ว่าชาวอยุธยานิยมใช้ผ้าคล้ายผ้าขาวม้าพาดบ่า คาดพุง หรือนุ่งโจงกระเบน หรือใช้ผ้าขาวม้าคล้องคอตลบห้อยชายทั้งสองข้างไว้ด้านหลัง สมัยรัตนโกสินทร์ชาวไทยทั้งชาย-หญิง นิยมใช้ผ้าขาวม้ามาทำประโยชน์กันมากยิ่งขึ้น โดยไม่จำกัดแต่เพียงเพศชายอย่างเดียวเหมือนในอดีต และไม่จำกัดเฉพาะทำเป็นเครื่องตกแต่งร่างกายอย่างเดียว

ผ้าขาวม้า เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นสารพัดประโยชน์ที่ใช่ได้หลากหลายรูปแบบ และใช้ได้กับคนทุกเพศทุกวัย ภาพจาก iStock
ผ้าขาวม้า เป็นภูมิปัญญาท้องถิ่นสารพัดประโยชน์ที่ใช่ได้หลากหลายรูปแบบ และใช้ได้กับคนทุกเพศทุกวัย ภาพจาก iStock

...

“ผ้าขาวม้า” จึงอยู่คู่กับคนไทยมาทุกยุคทุกสมัย ใช้งานได้หลากหลาย ทุกเพศ ทุกวัย เช่น สำหรับผู้ชาย ใช้ผ้าขาวม้าเป็นผ้าพาดบ่า คาดเอว โพกศีรษะ ใช้ปูนั่ง ปูนอน นุ่งเตี่ยว นุ่งอาบน้ำ ส่วนผ้าหญิงมักใช้ผ้าขาวม้าทำเป็นผ้าแถบนุ่งกระโจมอก ใช้ทำเปลไกวกล่อมทารกยามนอน ฯลฯ และยังมีการใช้ประโยชน์ผ้าขาวม้าในการใช้สอยต่างๆ มาจนถึงปัจจุบัน แม้ว่าวิถีชีวิตจะเปลี่ยนไปตามกาลเวลา แต่คุณค่าของผ้าขาวม้ายังคงอยู่ ทำให้ปัจจุบันคนนิยมซื้อเป็นของฝากของที่ระลึก บ้างก็ใช้เป็นผ้ารับไหว้ในงานพิธีมงคล เช่น งานแต่งงาน จึงยังเป็นการสะท้อนให้เห็นถึงคุณค่าทางวัฒนธรรมของผ้าขาวม้าที่ยังคงเอกลักษณ์ความงามในวิถีแบบไทยไว้ได้อย่างชัดเจนจนถึงวันนี้

ผ้าขาวม้า ภูมิปัญญาท้องถิ่นที่แตกต่างอย่างมีเอกลักษณ์

ผ้าขาวม้ามีเอกลักษณ์ความโดดเด่นของลวดลายบนผืนผ้าจะแตกต่างกันไปในแต่ละท้องถิ่น โดยเฉพาะวัสดุ มีทั้งที่ทอจากฝ้ายย้อมสีหลายๆ สี หรือมีสีเดียว หรือทอด้วยเส้นด้ายย้อมสีธรรมชาติ หรือทอจากไหมชั้นดี หรือใช้เส้นใยสังเคราะห์นับร้อยสีจากโรงงานอุตสาหกรรม เป็นต้น การทอผ้าขาวม้าจึงเป็นงานหัตถกรรมที่ทอกันทั่วทุกภูมิภาค เสมือนเป็นผ้าสามัญประจำบ้านของคนโบราณที่ทุกบ้านต้องมีไว้เพื่อการใช้ประโยชน์

นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ เลือกผ้าขาวม้าจากกาฬสินธุ์มาพันคอขณะทำภารกิจเยือนประเทศฝรั่งเศส ภาพจาก IG @sretthathavisin
นายเศรษฐา ทวีสิน นายกฯ เลือกผ้าขาวม้าจากกาฬสินธุ์มาพันคอขณะทำภารกิจเยือนประเทศฝรั่งเศส ภาพจาก IG @sretthathavisin

...

ผ้าขาวม้าของไทยมีลักษณะเป็นผ้ารูปสี่เหลี่ยมผืนผ้า ความกว้างประมาณ 2 ศอก ยาวประมาณ 3-4 ศอก (ในปัจจุบันขนาดความกว้าง ความยาว นิยมใช้หน่วยวัดเป็นเมตร หรือความกว้าง ความยาวที่จะแตกต่างกันออกไปตามแต่ละท้องถิ่น) โดยมากทอเป็นลายตารางเล็กๆ นิยมใช้ด้ายหลายสี หรือบ้างก็เป็นผ้าสีเดียวก็มี ผ้าขาวม้าในประเทศไทยมีชื่อเรียกแตกต่างกันขึ้นอยู่กับท้องถิ่น ส่วนสีและลวดลายของผ้าขาวม้าก็อาจจะแตกต่างกันไปตามความนิยมของท้องถิ่นเช่นเดียวกัน เช่น ทางภาคกลาง ผ้าขาวม้ามักนิยมลวดลายที่มีลักษณะเป็นลายตารางหมากรุก ส่วนทางภาคอีสานอาจจะเป็นแบบตารางเล็กๆ ละเอียด เป็นต้น

ข้อมูลอ้างอิง : ศูนย์ส่งเสริมศิลปาชีพระหว่างประเทศ (องค์การมหาชน)