ศาลาสุทธสิริโสภา ถือเป็นหอดนตรีแห่งแรกของประเทศไทยที่มีอายุเกือบ 12 ปี ซึ่งเป็นแหล่งรวมตัวของคนที่ชื่นชอบแนวเพลงดนตรีคลาสสิก อาจจะต้องเคยมา และรู้จักอย่างแน่นอน นอกจากนี้ภายในศาลาสุทธสิริโสภา ยังเป็นโรงเรียนสอนเปียโนที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศ ในย่านลาดพร้าว มาเกือบ 40 ปี ในนามของ ณัฐสตูดิโอ (NAT STUDIO)

โรงเรียนสอนเปียโน และหอแสดงดนตรีแห่งนี้ ตั้งตระหง่านอยู่ภายในซอยลาดพร้าว 41 โดดเด่นด้วยเสน่ห์ของสถาปัตยกรรมสไตล์โคโลเนียล ในบรรยากาศที่อบอุ่น ก่อตั้งโดย อาจารย์ณัฐ ยนตรรักษ์ นักเปียโนแถวหน้าของประเทศไทย ก่อตั้งในปี 1985 โดยมีปณิธานแน่วแน่ที่อยากใช้พลังของเสียงดนตรีในการเชื่อมโยงผู้คนทั่วโลกไว้ด้วยกัน

...

ปัจจุบันเทรนด์ และพัฒนาการเสียงของดนตรี ได้รุ่งเรืองขึ้นในใจผู้คน และเข้าถึงได้ง่ายมากยิ่งขึ้น หอเฮาส์คอนเสิร์ต (House Concert) หลังเดิม จึงเล็กเกินกว่าจะรองรับคนที่มากขึ้น จึงได้ขยับขยายพื้นที่เพิ่มเติมติดกับโรงเรียน เพื่อก่อสร้างเป็นหอแสดงดนตรีหลังใหญ่ที่มีชื่อว่า “ศาลาสุทธสิริโสภา” ซึ่งเป็นการถวายเกียรติให้พระนามของพระวรวงศ์เธอพระองค์เจ้าสุทธสิริโสภา ผู้ทรงอุปถัมภ์ และให้โอกาสแก่ครอบครัวดนตรี ‘ยนตรรักษ์’ เพื่อระลึกถึงพระคุณของท่าน และสานต่อเจตนารมณ์ในการทำให้สถานที่แห่งนี้ เป็นแหล่งบ่มเพาะ ความสามารถ ของเหล่านักดนตรีรุ่นเล็กและรุ่นใหญ่ ซึ่งเป็นอนาคตของคนในวงการดนตรี รวมถึงทำหน้าที่ในการมอบความสุขให้แก่ผู้ที่ต้องการรับฟังเสียงดนตรีอันไพเราะมาอย่างยาวนาน

หอแสดงดนตรี ศาลาสุทธสิริโสภา นอกจากมีเอกลักษณ์ เรื่องความงดงามของการออกแบบ และการตกแต่งภายในแล้ว ยังมีสถาปัตยกรรมที่คอยสร้าง เติมแต่งสถานที่แห่งนี้ให้ลงตัวมากยิ่งขึ้น เพื่อให้ได้เสียงที่ดีที่สุด จนเกิดเป็นระบบเสียงอะคูสติก ที่ยอดเยี่ยมที่สุดแห่งหนึ่งในประเทศไทย ที่ปราศจากการปรุงแต่งผ่านเครื่องขยายเสียง ซึ่งสามารถสะท้อนเสียงอันไพเราะของเปียโน และเครื่องดนตรีนานาชนิดได้อย่างทั่วถึงทุกพื้นที่ในหอแสดง

หลังจากได้รับรู้เรื่องราว และความน่าสนใจของ ‘ศาลาสุทธสิริโสภา’ หรือ ‘หอดนตรี’ เฉพาะทางของผู้ที่สนใจในงานของศิลปะทางด้านดนตรี ที่มีไม่มากนักในเมืองไทย ไทยรัฐออนไลน์ จึงมีโอกาสได้ร่วมพูดคุยกับ พิณนรี ยนตรรักษ์ คูเชดโว ผู้อำนวยการ ศาลาสุทธสิริโสภา (ลูกจันทน์) ลูกสาวของครอบครัวนักดนตรี ผู้ที่มีแพสชั่นเดียวกันกับคุณพ่อ (ณัฐ ยนตรรักษ์) และ วูกัช คูเชดโว มารับไม้ต่อ โดยมีความตั้งใจอันแน่วแน่ในการรังสรรค์ให้พื้นที่แห่งนี้ให้เป็นมากกว่า ‘หอแสดงดนตรี’ ทั่วไป

...

ลูกจันทน์ ดีกรีสาวอักษร จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย ผู้หลงใหลในเสียงดนตรี และเคยไปร่ำเรียนเปียโนที่ฝรั่งเศส และได้ต่อยอดจนจบปริญญาโท ในด้านดนตรีบำบัดที่อังกฤษ ก่อนไปพบรักกับนักดนตรีหนุ่ม เพอร์คัชชันชาวโปแลนด์ ผู้มีพรสวรรค์ด้านสไตล์การเล่นเครื่องดนตรีที่หลากหลาย เข้าสู่เส้นทางครอบครัวนักดนตรีที่มุ่งมั่น อยากพัฒนาวงการให้เฟื่องฟู 

ทั้งคู่พร้อมเดินหน้าสร้างสรรค์ประสบการณ์ในการรับฟังดนตรี และนำเสนอดนตรีคลาสสิกในแง่มุมอื่นๆ ที่งดงามให้แก่คนในทุกเจเนเรชันให้ได้ฟัง เข้าถึงได้ง่าย พร้อมหลงใหลไปกับเสียงเพลงอันไพเราะที่เคล้าคลอไปกับยุคสมัยได้อย่างลงตัว

...

ภารกิจของศาลาสุทธสิริโสภา ‘การผลักดันนักดนตรีให้เจิดจรัสได้อย่างยั่งยืน’

“นักดนตรีที่เก่ง มีพรสวรรค์ มีอยู่มากมาย แต่โอกาสที่ดีในการโชว์ผลงานบนเวทีต่างๆ กลับน้อยลงสวนทางกัน พวกเราต้องการถูกจดจำในฐานะการเป็นพื้นที่หนึ่งที่เปิดโอกาสให้พวกเขาเหล่านี้ ได้เข้ามาโชว์ความสามารถด้วยการเฟ้นหา คัดกรอง เพชรเม็ดใหม่จากเรา โดยต้องการให้ศิลปินคิดว่าเราเป็นจุดเช็กพอยต์หนึ่งในการพัฒนาตนเอง และพิสูจน์ความสามารถบนเส้นทางอาชีพดนตรี ก่อนจะก้าวสู่ลำดับถัดไป” พิณนรี ยนตรรักษ์ กล่าว

คุณลูกจันทน์ เล่าต่อ ถึงแผนในการพัฒนาวงการดนตรีคลาสสิกหลังจากนี้ว่า “พันธกิจที่กล่าวไปนี้เป็นสิ่งที่เราทำมาตลอด 11 ปีที่ผ่านมา ด้วยความตั้งใจ และถามว่าอะไรคือเป้าหมายถัดไป นอกจากการเป็นสถานที่ และเริ่มมีคนเข้ามาแสดงบ้างแล้ว จุดมุ่งหมายสำหรับเราในปีต่อๆ ไป คือ การพัฒนาอาชีพดนตรีให้เกิดความยั่งยืน สร้างระบบที่มันดีขึ้น โดยการช่วยเหลือเกื้อกูลกันทั้ง 2 ฝ่าย เพราะเรารู้ว่าเส้นทางนักดนตรีไม่ได้โรยด้วยกลีบกุหลาบ ด้วยการทำให้บุคคลที่มีความสามารถ แต่ไม่ได้มีคอนเน็กชัน ทางเราสามารถไปอุดรอยรั่วตรงนี้ได้เพื่อผลักดัน และป้อนงานดีๆ ให้เขาเป็นที่รู้จักมากขึ้นทั้งในประเทศ และต่างประเทศได้ด้วย”

...

จากคำบอกเล่าด้านบนทำให้ทางไทยรัฐออนไลน์ เกิดคำถามต่อในใจว่า ระบบความยั่งยืนนี้สามารถคืนอะไรที่เป็นประโยชน์ให้แก่ทางศาลาสุทธสิริโสภา ศิลปิน หรือประเทศไทยได้บ้าง เป็นคำถามต่อไป แต่ทางคุณลูกจันทน์ไม่รอช้า ได้เล่าระบบการจัดการนี้ให้ฟังโดยทันที

ผู้อำนวยการศาลาสุทธสิริโสภา กล่าวต่อพร้อมรอยยิ้ม เสมือนรู้ว่าทางทีมงานคิดอะไรอยู่ในใจ “แน่นอนว่าระบบการจัดการนี้ เรานั้นมีพาร์ตเนอร์ที่จะคอยสนับสนุน และสลับสับเปลี่ยนศิลปินจากไทยไปสู่ต่างประเทศ และศิลปินต่างประเทศมาโชว์ในประเทศไทย ในพาร์ตเครื่องดนตรีต่างๆ เสมือนการมาแลกเปลี่ยน แบ่งปันความรู้ ประสบการณ์ และเทคนิคต่างๆ ในด้านดนตรี เพื่อการพัฒนาของศิลปินอย่างยั่งยืนทั้ง 2 ฝ่าย ส่วนทางศาลาสุทธสิริโสภาก็ได้โชว์ใหม่ๆ จากศิลปินมีฝีมือจากต่างประเทศที่หาดูได้ไม่ง่ายนัก” 

ระบบความยั่งยืนต่างๆ ที่เกิดขึ้นในเจเนอเรชันใหม่ ที่วางแผนไว้โดย พิณนรี ยนตรรักษ์ คูเชดโว (ลูกจันทน์) และ วูกัช คูเชดโว ที่ช่วยกันรังสรรค์ให้ “ศาลาสุทธสิริโสภา” นอกจากการเป็นพื้นที่ในการโชว์ความสามารถจากศิลปินแล้ว ยังเป็นหนึ่งพื้นที่แลกเปลี่ยนโชว์ดีๆ และการแชร์ทักษะความรู้ที่ล้วน แต่เป็นผลดีต่อตัวศิลปินเอง ผู้ชม ศาลาสุทธสิริโสภา และประเทศไทยได้อีกด้วย

“ความหลากหลายจากระบบที่เราจัดขึ้นให้เกิดการแลกเปลี่ยนนี้เอง ทำให้ ‘ศาลาสุทธสิริโสภา’ ที่เดิมทีจะเน้นกลิ่นอายของดนตรีคลาสสิกเป็นหลัก เกิดความหลากหลาย และความพิเศษทางด้านประเภทของดนตรี และชนิดของเครื่องดนตรีมากยิ่งขึ้น รวมทั้งยังเข้าถึงกลุ่มคนที่หลากหลายเพิ่มเติมหลังจากนี้”

ดนตรีร่วมสมัย คือ การแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมไทย - สากลที่ย่อยง่ายที่สุด

ปัจจุบันกระแส Soft Power ในประเทศไทย กำลังถูกตีความไปต่างๆ นานา อย่างหลากหลายในทุกวงการ ในแวดวงดนตรีของไทยก็เช่นเดียวกัน ซึ่งเป็นที่แน่นอนว่าประเทศไทยเรานั้นมีเครื่องดนตรีไทยอยู่อย่างหลากหลายชนิด ที่ถือว่าเป็นเครื่องดนตรีเฉพาะ มีลักษณะพิเศษไม่เหมือนใคร แสดงออกถึงความเป็นไทยได้อย่างชัดเจน แต่การที่จะนำเสนอสิ่งเหล่านี้ให้แก่คนต่างประเทศให้ได้เข้าใจศิลปะ หรือดนตรีไทยนั้นค่อนข้างที่จะยาก 

แน่นอนว่าก่อนที่คำว่า Soft Power จะเป็นที่พูดกันอย่างแพร่พลายกันในปัจจุบัน ทาง ‘ศาลาสุทธสิริโสภา’ ได้ผลักดันเรื่องนี้อยู่เป็นทุนเดิม โดยการใช้บทประพันธ์เพลงไทย หรือเครื่องดนตรีสากล เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในการแลกเปลี่ยนวัฒนธรรมที่เปรียบเสมือนการทำความรู้จักซึ่งกันและกัน

ผู้อำนวยการ ศาลาสุทธสิริโสภา เล่าแนวคิดนี้ให้ฟังว่า “การเผยแพร่วัฒนธรรมมีเอกลักษณ์ มีจุดขายที่ชัดเจน หรือที่ปัจจุบันถูกเรียกว่า Soft Power เพื่อให้เป็นที่รู้จักไปทั่วโลก ก็เปรียบเสมือนคนที่เพิ่งจะรู้จักกัน ซึ่งเราก็ต้องพยายามทำความเข้าใจกันและกัน” 

“หลักการง่ายๆ เลย คือ ก่อนที่เราจะให้เขามาเข้าใจความเป็นวัฒนธรรมไทย เราก็ต้องทำความรู้จักเขาด้วยเช่นกัน วัฒนธรรมเปรียบเสมือนความเป็นตัวเรา เฉกเช่นเดียวกันกับ Soft Power ที่ขึ้นอยู่ที่ว่าเราจะเอาอะไรไปขาย หรือไปโชว์ ดังนั้นแล้วการทำความรู้จักเพื่อที่จะให้คนอื่นๆ เข้าใจตัวเราให้มากขึ้น เราก็เข้าใจตัวของวัฒนธรรมอื่นๆ มากขึ้น ย่อมเป็นผลดีต่อการแสดงออกในตัวตน เพื่อให้เป็นที่ยอมรับได้ง่ายมากยิ่งขึ้น” ลูกจันทน์ กล่าวอธิบาย

คุณลูกจันทน์ เล่าเพิ่มเติมว่า “ถ้ามองมาในพาร์ตของดนตรี ถามว่าอะไรที่สามารถทำให้คนต่างวัฒนธรรมเข้าใจได้ง่ายที่สุดนั่นก็คือ ดนตรีร่วมสมัย แนวเพลงที่โมเดิร์น ที่ล้อไปกับเทรนด์ ยกตัวอย่างงานแสดงโชว์ เราได้นำแนวเพลงลิเกไปแสดง โดยมีพื้นฐานเหมือนละครเวที โดยมีองค์ประกอบเป็น เนื้อเรื่อง นักแสดง ที่ชาวต่างชาติเข้าใจอยู่แล้วมาดัดแปลง และนำเปียโนมาบรรเลงเพลง และดัดแปลงเอาเสียงกลองตะโพน (เครื่องเพอร์คัชชัน)  ซึ่งเป็นกลองไทย ทั้งหมดจึงเป็นความกลมกล่อม และเสน่ห์เล็กๆ ในการดัดแปลง ทำให้คนในต่างประเทศเปิดใจ เข้าใจง่ายขึ้น เคล้าคลอไปกับเสียงบางอย่างที่สื่อถึงความเป็นไทย และไม่เคยได้ยิน มีการแสดงโชว์ที่ชาวต่างชาติเข้าใจ และชื่นชอบ ซึ่งดนตรีสากล ก็สามารถนำมาขับเคลื่อนความเป็นไทย หรือที่เรียกว่า Soft Power ที่ใช้กันอยู่ในปัจจุบันได้เป็นอย่างดี” พิณนรี ยนตรรักษ์ คูเชดโว เล่าให้ฟังถึงเสน่ห์ของโชว์ดนตรีสากลร่วมสมัย ที่สื่อสารความเป็นไทยให้คนรู้จักได้ เปรียบเสมือนการเปิดใจซึ่งกันและกัน”

แค่เปิดใจ ก็เปิดโลกดนตรี ที่หลากหลาย

ภาพลักษณ์ที่คนจากภายนอกมองเข้ามา คือ กลุ่มผู้ฟังดนตรีแนวคลาสิก และกลุ่มที่รู้จักหอดนตรีของศาลาสุทธสิริโสภา ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่มวัยกลางคน และกลุ่มผู้สูงอายุเสียส่วนใหญ่ รวมทั้งกลุ่มคนเฉพาะที่ชอบดนตรี ฟังดนตรี เล่นดนตรี และผู้คนในแวดวงดนตรีคลาสสิก 

แน่นอนว่าจากเหตุผลที่กล่าวไปให้หัวข้อ Soft Power ข้างต้น ทำให้ปัจจุบันทาง ‘ศาลาสุทธสิริโสภา’ เริ่มใส่ความหลากหลายลงไปในโชว์ด้วยวิธีการนำแนวเพลงอื่นมาแสดงบ้าง เพื่อเพิ่มความหลากหลายของชุมชนทางดนตรี และผู้ชมให้มากขึ้น เช่น แนวเพลงอิเล็กโทรนิกส์ แนวเพลงแจ๊ซ แนวเพลงประกอบซีรีส์ แนวเพลงประกอบภาพยนตร์ และอีกมากมายที่จะได้พบเจอในปีนี้

พิณนรี ยนตรรักษ์ คูเชดโว เล่าว่า “เราพยายามเพิ่มเติมสีสันให้หอดนตรีนี้ มีผู้คนมากหน้าหลายตาเพิ่มขึ้น อย่างปีที่แล้วเป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นมาก เพราะทางเราเองได้ทำโชว์เพลงของการ์ตูนสตูดิโอจิบลิ ซึ่งเป็นหนึ่งในโชว์ที่สร้างสีสัน มีกลุ่มวัยรุ่นเข้ามาเพิ่มขึ้นทำให้เราได้มองเห็นประสบการณ์ และความน่าดึงดูดของหอดนตรีแห่งนี้ ให้ดูไม่เชยอีกต่อไป”

“นอกจากนี้ ปลายปี 2567 เราก็ได้ต่อยอดอีก ในช่วงเดือนตุลาคม เราก็มีไอเดียจะจัดโชว์เพลงของ Little Red Riding Hood (หนูน้อยหมวกแดง) โดยเครื่องดนตรีไทย ผสมผสานกับดนตรีสากลแนวอิเล็กทรอนิกส์ พร้อมกับการเต้นแบบ Contemporary Dance (นาฏศิลป์ร่วมสมัย) และอีกโปรเจกต์ที่เราจะทำอีกมากมายไม่ว่าจะเป็นแนวเพลงคลาสสิก Classic Game ที่เป็นเพลงของเกมจำพวกมาริโอ้ (Mario), โซนิก (Sonic) และอีกมากมาย เป็นคอนเซปต์ที่ทุกคนน่าจะเข้าถึงได้ง่าย”

“คอนเซปต์ที่คิดขึ้นเหล่านี้ ทางทีมงานไม่เพียงแต่อยากจะดึงผู้คนกลุ่มใหม่ๆ ให้มารู้จัก ‘ศาลาสุทธสิริโสภา’ เพียงอย่างเดียว แต่เราอยากให้ทำความรู้จักคนกลุ่มใหม่ๆ ศึกษากลุ่มวัยรุ่นและเยาวชน เพื่อให้พวกเขานั้นเปิดใจ เปลี่ยนมุมมองในการดูคอนเสิร์ตที่หอดนตรี และมองการฟังเพลงคลาสสิก เพลงแจ๊ซ และอีกมากมายนั้นไม่ใช่เรื่องเข้าใจยาก ฟังยาก อีกต่อไป เพื่อให้เกิดการสื่อสาร และหวังว่าเราจะกลายเป็นเทรนด์ดนตรีใหม่ๆ ทางเลือกที่กลุ่มวัยรุ่นชื่นชอบ ซึ่งเป็นทางที่ดีในการส่งวัฒนธรรม แนวเพลงสากล - ไทย ที่คือ Soft Power อีกรูปแบบหนึ่งของประเทศไทยให้เป็นที่รู้จักทั่วไทย และทั่วโลก” ลูกจันทน์ กล่าวปิดท้ายด้วยรอยยิ้ม

เยาวชนที่เก่งมีเยอะ แต่การสานต่อจนเป็นศิลปินนั้นยากกว่าที่คิด

แน่นอนว่าที่หอดนตรีศาลาสุทธสิริโสภา เดิมทีเป็นโรงเรียนสอนเปียโนที่เก่าแก่ที่สุดของประเทศ ในย่านลาดพร้าว มาเกือบ 40 ปี จนถึงปัจจุบัน ในนามของ ณัฐสตูดิโอ (NAT STUDIO) ต้องเห็นการเปลี่ยนแปลงของเด็กในแต่ละเจเนอเรชัน ซึ่งเป็นอีกเรื่องที่ทางทีมไทยรัฐออนไลน์สนใจว่า เด็กไทยมีพัฒนาการที่ก้าวกระโดดไปมากน้อยเพียงใดในแต่ละยุคสมัย

ผู้อำนวยการในรุ่นที่ 2 ของศาลาสุทธสิริโสภา ให้คำตอบว่า “เด็กในยุคสมัยนี้เก่งมาก เรียนรู้ได้ไว เมื่อเทียบกับสมัยก่อนเด็กที่เริ่มฉายแววจะอยู่ในช่วงอายุประมาณ 14 - 15 ปี แต่สมัยนี้อายุจะเริ่มลดลงเพียงแค่ 8 - 10 ขวบ ก็เก่งมากแล้ว ซึ่งอยู่ในระดับที่เรียกว่าต่อยอดได้เลย ถ้าเขาเลือกเดินทางสายดนตรีจริงๆ”

“แต่ถามต่อว่า หากต้องการต่อยอดไปเป็นศิลปินให้ได้ในสักวัน ซึ่งต้องบอกตรงๆ ว่ายังคงยากอยู่ ถึงแม้ในปัจจุบันโลกจะเปิดกว้างมากขึ้นก็ตาม จากที่เจอมาเด็กในหลายยุคสมัย อย่างแรก คือ ความขยันบางคนมีพรสวรรค์เก่งเร็ว แต่ก็ชอบอะไรใหม่ๆ ที่ถูกใจกว่าได้ เพราะความท้าทายมันจบลงแล้ว หรืออย่างที่สองบางคนมีพรแสวง ฝึกฝนจนชำนาญ อยากเป็นศิลปิน แต่ก็ไปไม่ถึงฝั่งฝันเสียที นี่แหละคือความยากของวงการดนตรี”

“สิ่งหนึ่งที่คุณพ่อถามมาโดยตลอด ตอนลูกจันทน์เล่นดนตรี คือ ถ้าไม่มีดนตรี คิดว่าชีวิตจะอยู่ได้ไหม ถ้าคิดว่าทำอย่างอื่นได้ ก็อยากให้ไปทำอย่างอื่นเถอะ เพราะวงการดนตรีการแข่งขันสูง ศิลปินมีทั่วประเทศ แต่เวทีแสดงมีสักเท่าไรในประเทศไทย ที่สามารถต่อยอดจนเป็นศิลปินได้ แน่นอนว่าการเป็นศิลปิน เพียงแค่เก่งยังไม่พอ ต้องอาศัยดวง บวกกับความขวนขวายที่ต้องหาให้เจอ โดย ‘ศาลาสุทธสิริโสภา’ ก่อตั้งขึ้นมาก็เพราะมีเจตจำนงของเรื่องนี้ด้วยเช่นกัน อย่างที่กล่าวไปตอนแรก” ลูกจันทน์ กล่าว

เทคโนโลยี คือ ‘ใบเบิกทางที่ดี’ ของคนรุ่นใหม่จริงหรือไม่

คำถามต่อไปที่น่าสนใจ คือ ปัจจุบันมีเทคโนโลยีต่างๆ ที่เข้ามาช่วยเป็นช่องทางในการแสดงความสามารถมากขึ้น เด็กและเยาวชนสามารถเรียนรู้ หรือแสดงศักยภาพผ่านแพลตฟอร์มสิ่งเหล่านี้ได้ง่ายขึ้น คิดว่าเทคโนโลยีเหล่านี้สามารถเป็นตัวช่วยที่จะปูทางให้เยาวชนกลายเป็นศิลปินได้หรือไม่ 

พิณนรี ยนตรรักษ์ คูเชดโว แสดงความคิดเห็นว่า “เห็นด้วยอย่างยิ่งที่ช่องทางเหล่านี้สามารถส่งผลดีต่อเด็ก และเยาวชนในด้านดนตรีเป็นอย่างมาก บางคนมีชื่อเสียงจนถึงขั้นเป็นศิลปินก็มีให้เห็นมากนักต่อนัก แต่ต้องเข้าใจกันก่อนว่าออนไลน์ กับออฟไลน์มันต่างกันเยอะมากในเรื่องของ ‘ประสบการณ์การแสดง’ มองเห็นได้ชัดว่า การแสดงบนโลกออนไลน์ กับการแสดงต่อหน้าผู้คนให้ประสบการณ์ที่แตกต่างกันออกไป”

“แต่เทคโลโนยี มีข้อดีต่อเยาวชน คือ พวกเขาเรียนรู้ได้เร็วขึ้น ได้รับข้อมูลที่ครอบคลุม เป็นตัวช่วยสร้างแรงบันดาลใจที่ดีได้ แต่ว่าสุดท้ายแล้วคนเล่นดนตรีก็ต้องการคนฟัง ถ้งแม้จะบอกว่า เราโชว์ผลงานในโลกออนไลน์คนดูเป็นล้านวิวก็จริง แต่ข้อเสีย คือ เราจะได้ความรู้สึกจะแตกต่างกันออกไปโดยสิ้นเชิง กับคนที่อยู่ในฐานะศิลปิน หรือคนเล่นดนตรีบนเวที การแสดงโชว์ต่อหน้าผู้คน เพอร์ฟอร์แมนซ์ (Performance) เป็นสิ่งจำเป็นที่ไม่สามารถสอนได้ รวมถึงการสื่อสารผลงาน คอนเน็กชันไปถึงผู้ฟัง สิ่งนี้คือสิ่งที่จะทำให้เรารับรู้ถึงความเป็นศิลปินที่แท้จริง เราจึงคิดว่า ‘โลกของออนไลน์อาจเป็นใบเบิกทางที่ดี แต่การเป็นศิลปินที่แท้จริงก็ยังคงต้องออกไปโชว์ ออกไปแสดงความสามารถของเราอยู่ดี เชื่อว่าไม่มีศิลปินคนไหนอยากทำงานแค่บนโลกออนไลน์หรอก’” พิณนรี กล่าว

แม้โลกออนไลน์อาจเป็นหนึ่งในใบเบิกทางที่ดี แต่คุณลูกจันทน์ได้ฝากข้อความถึงคนที่สนใจในเส้นทางสายดนตรี และมีสิ่งที่ยืนยันได้ว่า อะไรคือใบเบิกทางในการเป็นศิลปินที่ดีได้อย่างแน่นอน ด้วยข้อความที่ว่านี้ 

“แน่นอนว่าไม่ใช่ทุกคนจะเริ่มมามีทักษะ และฝีมือที่ดีเท่ากัน รวมถึงอย่าน้อยใจตัวเองที่ไม่มีพรสวรรค์อย่างใครๆ เขา ซึ่งต่อให้มีพรสวรรค์ยังไงก็ยังแพ้ การแสวงหาความรู้เพิ่มเติม และหมั่นฝึกฝนจนเชี่ยวชาญขึ้นไปอีก สองสิ่งที่ว่านี้ ก็สามารถทำให้ตัวเองนั้นพอที่จะเป็นศิลปินฝีมือดีได้ อย่างไรก็ตาม อย่างที่บอกไปว่าการเป็นศิลปินมันไม่ได้ง่าย ซึ่งมีสิ่งที่สำคัญกว่านั้น และเป็นสิ่งที่จำเป็นที่สุดในการเป็นศิลปิน คือ ‘วินัย’ การทำตัวเองให้เป็นคนที่น้ำไม่เต็มแก้ว ซึ่งนี่แหละ คือ ‘ใบเบิกทางที่แท้จริง’”

หลังจากได้เห็นมุมมอง แนวคิดจาก ลูกสาวของครอบครัวยนตรรักษ์ ครอบครัวนักดนตรีที่มากความสามารถที่พร้อมจะส่งต่อประสบการณ์ใหม่ๆ หลังจากนี้ที่ หอดนตรี (ศาลาสุทธสิริโสภา) 

ลูกจันทน์ - พิณนรี ยนตรรักษ์ กล่าวว่า “เราอยากให้สถานที่แห่งนี้เต็มไปด้วยช่วงเวลาที่มีคุณภาพและน่าจดจำสำหรับทุกคน ที่ทลายกรอบความเชื่อเดิมๆ ของคนไทยที่มองว่าดนตรีคลาสสิกเป็นสิ่งที่เข้าถึงได้ยาก”

โดยศาลาสุทธสิริโสภาแห่งนี้ จะเปลี่ยนตัวเองให้เป็นมากกว่าแค่หอแสดงดนตรีธรรมดา ให้สถานที่แห่งนี้จะเป็นพื้นที่สำหรับนักดนตรีไทย ที่เปิดกว้างเพื่อทุกคน และจะขยายขอบเขตประสบการณ์ให้กว้างไกลกว่าเดิม เพื่อเผยแพร่ความสุนทรีย์ให้เข้ากับไลฟ์สไตล์ของคนรุ่นใหม่ ผ่านทั้งการจัดแสดงคอนเสิร์ต ตลอดจนการจัดกิจกรรมเวิร์กช็อปศิลปะบำบัด พื้นที่ฟรีสเตจให้ศิลปินหน้าใหม่ๆ ได้โชว์ของ รวมทั้ง คอร์สรับประทานดินเนอร์ ร้านขายขนมและน้ำ ที่เปิดรอต้อนรับผู้ชมทุกคนอย่างอบอุ่น

ภาพ : ศรันย์ พงษ์สวัสดิ์