ปัญหาความรุนแรงในครอบครัวมักเกิดขึ้นซ้ำซ้อนยาวนานในสังคมไทย จนองค์การสหประชาชาติจัดอันดับให้เป็น 1 ใน 10 ประเทศที่มีปัญหาความรุนแรงในครอบครัวมากที่สุดในโลก แน่นอนว่าไม่ใช่เรื่องที่น่าภูมิใจ แต่ปัญหานี้ก็ยังไม่จางหายไปในปัจจุบัน ซึ่งคดีล่าสุดอย่าง “น้องนุ่น” ถูกสามีทำร้ายร่างกายจนเสียชีวิตและอำพรางศพ ก็ยังเป็นเรื่องราวน่าสะเทือนใจที่ยังไม่มีทีท่าว่าจะหายไปจากสังคมไทยเสียที
สังเกตพฤติกรรมก่อนสาย
ทีมข่าวไลฟ์สไตล์ไทยรัฐออนไลน์ได้พูดคุยกับ ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์รณชัย คงสกนธ์ จิตแพทย์ และผู้อำนวยการโรงพยาบาล BMHH - Bangkok Mental Health Hospital ถึงปัญหาความรุนแรงในครอบครัวที่ฝังรากลึกในสังคมไทย เผยว่าโดยทั่วไปแล้วเราไม่สามารถเห็นสัญญาณเตือนความรุนแรงได้อย่างชัดเจน อาจต้องมีการใช้ชีวิตร่วมกันเป็นระยะเวลาพอสมควรถึงจะเห็นพฤติกรรมดังกล่าวว่าเป็นกลุ่มเสี่ยงหรือไม่ เช่น
- เป็นผู้ที่มีประวัติใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหา
- เป็นผู้ที่มีประวัติใช้สารเสพติด เช่น แอลกอฮอล์
- เป็นคนเจ้าอารมณ์ ฉุนเฉียวง่าย
- มีพฤติกรรมแสดงตนในการข่มขู่ หรือวางอำนาจ
หากเจอลักษณะใดลักษณะหนึ่งในข้างต้น ให้ควรระวังว่าบุคคลนี้อาจมีความเสี่ยงใช้ความรุนแรง ซึ่งสอดคล้องกับความเห็นของ ร.ศ. พ.ต.ท ดร.กฤษณพงค์ พูตระกูล รองอธิการบดี และประธานกรรมการคณะอาชญาวิทยา และการบริหารงานยุติธรรม มหาวิทยาลัยรังสิต หรือ อาจารย์โต้ง ที่มองว่าเราควรศึกษาดูใจเพื่อสังเกตพฤติกรรมคนรักให้ถี่ถ้วนก่อนใช้ชีวิตร่วมกันว่ามีนิสัยอย่างไร
...
“ก่อนที่จะเกิดเหตุความรุนแรงในครอบครัว เราควรป้องกันตั้งแต่แรกเริ่มด้วยการสังเกตพฤติกรรมคนรักก่อนแต่งงานว่ามีอุปนิสัยโกรธง่าย ชอบใช้ความรุนแรงทำร้ายร่างกายสัตว์หรือคนรอบข้างไหม ถ้าหากว่าเห็นสัญญาณดังกล่าวก็ควรตีตัวออกห่างไว้ดีที่สุด”
แต่ในกรณีที่แต่งงานเป็นครอบครัวเดียวกันแล้วเพิ่งจะแสดงนิสัยชอบใช้ความรุนแรงออกมา อาจารย์โต้งแนะนำว่าควรมีการพูดคุยกันเพื่อแก้ไขปัญหา แต่ถ้าหากตกลงกันเองไม่ได้ก็ควรปรึกษาญาติผู้ใหญ่ หรือคนที่ทั้งสองฝ่ายให้ความเคารพนับถือมาช่วยเจรจา แต่ถ้าหากยังตกลงกันไม่ได้ก็คงต้องเข้าสู่กระบวนการทางกฎหมายต่อไป ซึ่งในปัจจุบันมีพระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาและคุ้มครองสถาบันครอบครัวออกมารองรับการแก้ปัญหาความรุนแรงในครอบครัวด้วย
พระราชบัญญัติส่งเสริมการพัฒนาและคุ้มครองสถาบันครอบครัว พ.ศ. 2562 เป็นกฎหมายที่แก้ไขปัญหาความรุนแรงในครอบครัวที่มีความละเอียดซับซ้อน เนื่องจากมาตรการทางอาญาบางสถานการณ์มีความไม่เหมาะสม เพราะกฎหมายอาญามุ่งที่จะลงโทษผู้กระทำความผิดมากกว่าที่จะแก้ไขบำบัด ฟื้นฟูผู้กระทำ และผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัว โดย พ.ร.บ.ฉบับนี้มีวัตถุประสงค์เพื่อเปิดโอกาสให้ผู้กระทำความผิดได้กลับตัวกลับใจและยับยั้งการกระทำความผิดซ้ำ และช่วยเหลือฟื้นฟูผู้ถูกกระทำความรุนแรงในครอบครัว ซึ่งเป็นปัญหาในลักษณะพิเศษแตกต่างจากปัญหาทั่วไป
อาจารย์โต้ง เผยว่ากฎหมายนี้ครอบคลุมความรุนแรงภายในครอบครัวทุกระดับ ตั้งแต่การตะคอก ด่าทอ ไปจนถึงการทำร้ายร่างกาย หากพบเห็นเหตุการณ์ความรุนแรงในครอบครัวสามารถแจ้งความเพื่อใช้กฎหมายนี้แก่ผู้กระทำได้ทันที
สามี-ภรรยา ทะเลาะกัน ไม่ใช่แค่เรื่องภายในครอบครัว
อย่างไรก็ตาม ที่ผ่านมาคนส่วนใหญ่มักมีแนวคิดและความเชื่อว่าการที่สามีภรรยาทะเลาะกัน เป็นเรื่องภายในครอบครัวที่คนภายนอกไม่ควรเข้าไปยุ่งเกี่ยว และมักจะเป็นข้ออ้างที่เจ้าหน้าที่ตำรวจนำมาใช้เมื่อนำไปแจ้งความ โดยให้เหตุผลว่าแค่เป็นการด่าทอยังไม่ได้ก่อเหตุทำร้ายร่างกาย และเป็นเรื่องในครอบครัว ตำรวจไม่อยากเข้าไปยุ่งเกี่ยว ซึ่งในอดีตข้ออ้างแบบนี้อาจใช้ได้ผล แต่ในปัจจุบันไม่สามารถใช้ได้แล้ว
“เราต้องเปลี่ยนความคิดใหม่ การที่อ้างว่าเป็นเรื่องในครอบครัวเอามาใช้ไม่ได้ในปัจจุบัน เพราะแนวคิดใหม่คือทุกคนมีสิทธิในร่างกายตนเองที่จะไม่ให้ใครมาละเมิด ไม่ว่าจะเป็น ผู้ชายกระทำต่อผู้หญิง หรือผู้หญิงกระทำต่อผู้ชายก็ตาม ในเมื่อเรามีกฎหมายนี้มารองรับแล้ว เราก็ต้องได้รับการคุ้มครองด้วยเช่นกัน เพราะหากไม่แก้ไขปัญหานี้ก็จะเกิดซ้ำๆ ต่อไปเรื่อยๆ โดยเฉพาะถ้าหากครอบครัวนั้นมีลูกหลานด้วย เด็กก็จะซึมซับพฤติกรรมความรุนแรงที่เกิดขึ้นระหว่างคุณพ่อและคุณแม่ หรือสมาชิกในครอบครัว ต่อไปก็เป็นการผลิตซ้ำความรุนแรงเมื่อเด็กเติบโตขึ้นไปมีครอบครัวใหม่” อาจารย์โต้ง กล่าว
...
ดังนั้นบุคคลทั่วไปที่พบเห็นการกระทำความรุนแรงในครอบครัว สามารถแจ้งเหตุได้ที่ศูนย์ช่วยเหลือสังคม สายด่วน พม. 1300 หรือ ผ่าน Line OA “ESS Help Me” เพียงกดเพิ่มเพื่อน @esshelpme ซึ่งกระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ (พม.) ได้จัดตั้งทีม “พม. หนึ่งเดียว” และหน่วยงานที่เกี่ยวข้องเพื่อทำการช่วยเหลือผู้ประสบภัยอย่างเต็มที่
...
นอกจากนี้ พม. ยังได้เปิด ศูนย์เร่งรัดจัดการสวัสดิภาพประชาชน (ศรส.) เป็นศูนย์กลางช่วยเหลือทุกกลุ่มเป้าหมาย ทั้งกำกับ ควบคุม ส่งต่อ และติดตามการช่วยเหลือและคุ้มครองสวัสดิภาพ ผ่านการปฏิบัติการของหน่วยเคลื่อนที่เร็วจากทีมสหวิชาชีพ รวมทั้งสร้างการรับรู้ให้ทุกภาคส่วนร่วมป้องกันและแก้ไขปัญหาสังคมอีกด้วย
ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์รณชัย กล่าวย้ำว่าปัญหาความรุนแรงในครอบครัวมักถูกมองจากคนในสังคมว่าเป็นปัญหาส่วนตัว เป็นทัศนคติที่ฝังรากลึกมานาน และเป็นปัจจัยหนึ่งที่ส่งเสริมให้ปัญหาความรุนแรงในครอบครัวยังเกิดขึ้นต่อเนื่อง
...
มีการสำรวจผู้ที่เป็นเหยื่อความรุนแรงในครอบครัวพบว่าบ่อยครั้งที่ผู้กระทำจะหลอกล่อให้ตายใจ เพื่อที่จะควบคุมเหยื่อได้และลงมือทำร้ายในภายหลัง ดังนั้น หากมีสัญญาณว่าเรากำลังจะตกเป็นเหยื่อความรุนแรงในครอบครัว ควรเอาตัวรอดด้วยวิธี ดังนี้
- ขอความช่วยเหลือ และออกจากสถานการณ์นั้นโดยเร็ว
- หลีกเลี่ยงความรุนแรง โดยย้ายไปอยู่กับเพื่อนหรือคนสนิท เพื่อวางแผนในการก้าวต่อไปในชีวิต
- ติดต่อขอความช่วยเหลือจากหน่วยงานภาครัฐ เช่น ตำรวจ หากเกิดการบาดเจ็บหรือถูกข่มขืน ควรไปโรงพยาบาลที่ใกล้ที่สุดเพื่อตรวจร่างกาย และหากรู้สึกกระทบกระเทือนจิตใจ ควรพบนักจิตวิทยาเพื่อพูดคุยและได้รับการสนันสนุนด้านบาดแผลทางใจ
- เชื่อมั่นในคุณค่าของตัวเอง จงจำไว้เสมอว่าความรุนแรงในครอบครัวไม่ใช่สิ่งที่ควรยอมรับได้ ให้กลับไปหามิตรภาพดีๆ ที่เราเคยมีเพื่อให้รู้ว่ายังมีคนคอยเป็นห่วงเรา
- ศึกษาสิทธิต่างๆ และข้อกฎหมายที่คุ้มครองเรื่องความรุนแรงในครอบครัว
ต้นเหตุของปัญหามาจากผู้กระทำความรุนแรง
ปัญหาของผู้ที่มีพฤติกรรมความรุนแรงในครอบครัวส่วนใหญ่มาจากหลายสาเหตุด้วยกัน ไม่ว่าจะเป็น ภูมิหลังของผู้กระทำมาจากครอบครัวที่ใช้ความรุนแรงจนทำให้เกิดการทำซ้ำกับครอบครัวของตัวเองหรือไม่ พ่อแม่ของผู้ก่อเหตุมีประวัติใช้สารเสพติดจนส่งผลมาถึงตัวผู้ก่อเหตุด้วยหรือเปล่า ซึ่งศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์รณชัย ได้วิเคราะห์ในมุมจิตแพทย์ว่าต้นเหตุมาจากหลายปัจจัยด้วยกัน โดยปัจจัยหลักที่พบ ได้แก่
- เป็นปัญหาเฉพาะบุคคลที่มีพฤติกรรมใช้ความรุนแรงในการแก้ไขปัญหา
- เป็นความเชื่อในสังคมที่ถือความเป็นใหญ่ หรือการวางอำนวจในสถานะเพศ
- ความตึงเครียด เช่น เศรษฐกิจ การงาน
- มีการใช้สารเสพติด โดยเฉพาะแอลกอฮอล์
โดยจากงานวิจัยของศาสตราจารย์เกียรติคุณนายแพทย์รณชัย พบว่า ถ้ามีบุคคลในครอบครัวใช้แอลกอฮอล์ มีโอกาสที่จะเกิดความรุนแรงเป็น 3 เท่าของครอบครัวที่ไม่ใช้แอลกอฮอล์
“ทั้งหมดนี้เป็นสาเหตุที่ทำให้เกิดการใช้ความรุนแรงในครอบครัว โดยอาจจะเริ่มต้นจากการมีปากเสียง แล้วต่อด้วยการใช้ความรุนแรงทางกาย วาจา และจิตใจ โดยบางครอบครัวอาจมีปัญหาด้านฐานะเศรษฐกิจเป็นปัจจัยพื้นฐาน ทำให้เกิดความขัดสน ความขัดแย้ง จนทำให้บางคนต้องดื่มแอลกอฮอล์เพื่อคลายเครียด แต่การดื่มแอลกอฮอล์ไม่ใช่ทางออกที่ดี เพราะจะทำให้ขาดสติจนนำไปสู่การมีปากเสียงและทำร้ายร่างกายคนในครอบครัว” ศาสตราจารย์เกียรติคุณ นายแพทย์รณชัย กล่าวทิ้งท้าย
ภาพ : iStock