“ผมดีใจนะที่วงนี้เริ่มจากการเป็นเพื่อนกัน ไม่ได้เกิดจากคนเก่ง แต่เกิดจากการที่ต่างฝ่ายต่างไม่เก่ง มาปะติดปะต่อกัน แม้ว่าจะไม่ได้เก่งขึ้น แต่รู้สึกว่าไม้มัดใหญ่แข็งแรงกว่า” หนึ่งในสมาชิกของวง Purpeech บอกเล่ากับเราถึงมิตรภาพที่เกิดขึ้นระหว่างตามหาฝันบนเส้นทางดนตรี

Purpeech (อ่านว่า เพอ-พีช) คือ วงดนตรีอินดี้-ป๊อป ส่งตรงจากเชียงใหม่ ประกอบด้วยสมาชิก 5 คน ได้แก่ เรฟ - ศราวุฒิ สุยะเขต (ร้องนำ), ยีนส์ - ภูริช สมชื่อ (คีย์บอร์ด), เซ็นต์ - สิทธิโชค ตาสา (กีตาร์), คอมพ์ - ทรรศนะ เพ็ญจันทร์ (เบส) และ เจมส์ - จักรพรรณ ธนาศุภณัฏฐ์ (กลอง) ทั้งหมดจบจากมหาวิทยาลัยเดียวกัน 

จากงานเล่นดนตรีในช่วงกลางคืน ปัจจุบันพวกเขากลายมาเป็นศิลปินเต็มตัว แน่นอนว่าทั้งหมดนี้ไม่ได้เกิดขึ้นเพราะโชคช่วย แต่ด้วยความรัก ความพยายาม ความสามารถ รวมไปถึงมิตรภาพอันแน่นแฟ้นของพวกเขาทั้ง 5 คน ทีมงานไลฟ์สไตล์ไทยรัฐชวน Purpeech มาพูดคุยถึงเรื่องความฝันและมิตรภาพตลอดระยะเวลาที่ผ่านมา หวังว่าหลายๆ คนจะได้รู้จักพวกเขากันให้มากขึ้น

...

คุยกับ Purpeech วงดนตรีอินดี้ป๊อปส่งตรงจากเชียงใหม่ ว่าด้วยเรื่องมิตรภาพ ความฝัน และเส้นทางดนตรีของพวกเขา

ความฝันในช่วงวัยเยาว์

คอมพ์ : ความฝันแรกอยากเรียนเกี่ยวกับคอมพิวเตอร์ครับ แต่กาลเวลาเปลี่ยนไป ลดทอนมาเรื่อยๆ จากโปรแกรมเมอร์ เหลือแค่เกมเมอร์ (หัวเราะ)
เซนต์ : ผมรู้ตัวเองมาตั้งแต่เด็กว่าอยากเป็นศิลปิน แต่เป็นเพียงความคิดที่อยู่ก้นบึ้งของหัวใจไม่กล้าจะประกาศให้คนอื่นรู้ครับ
ยีนส์ : ความฝันแรกของผม ผมอยากเป็นนักบินครับ รู้สึกว่าเท่
เรฟ : ผมอยากเป็นหมอฟันครับ แต่ความคิดนั้นได้จบลงตั้งแต่สอบไม่ติดห้องเรียนคณิตศาสตร์ ตอนนั้นใช้ชีวิตเรื่อยเปื่อย มีแค่ดนตรีอย่างเดียวที่ยังอยู่ในชีวิต ตั้งแต่เด็กจนช่วงสอบเข้ามหาวิทยาลัยก็ยังเรียนดนตรีครับ
เจมส์ : ส่วนผมอยากเป็นทหารครับ แต่โตขึ้นมาก็รู้ตัวเองแล้วเลือกเรียนดนตรีแทน

แม้ว่าในวัยเยาว์แต่ละคนจะมีความฝันที่ต่างกันออกไป แต่ท้ายที่สุด เสียงดนตรีก็เข้ามามีอิทธิพลต่อการใช้ชีวิตของ Purpeech ทั้ง 5 คน ปลอบประโลมหัวใจในวันที่ผิดหวัง เป็นของขวัญชิ้นสำคัญ กลายเป็นความชอบ งานอดิเรก และเส้นทางที่เลือกเดิน

จุดเริ่มต้นที่เริ่มสนใจในดนตรีได้รับอิทธิพลมากจากไหน

เจมส์ : สมัยประถม ผมชอบฟังเพลง เช่น วง Dr.Fuu วงไอน้ำ อย่างภาพยนตร์เรื่อง Suckseed ห่วยขั้นเทพ ก็เป็นอีกหนึ่งเรื่องที่ทำให้อยากเล่นดนตรี เลยเริ่มหัดเล่นครับ
เรฟ : ของผม วันเกิดแม่ให้เลือกระหว่างโน้ตบุ๊กกับกีตาร์ ผมเลือกกีตาร์ เพราะเห็นเพื่อนเล่นที่โรงเรียน เท่เหมือนคุ้ง (พระเอกในเรื่อง Suckseed) ตอนนั้นก็เล่นมาเรื่อยๆ 
ยีนส์ : ครอบครัวผมเล่นดนตรีเป็นงานอดิเรกอยู่แล้วครับ พ่อเล่นกีตาร์ให้ฟังตั้งแต่เด็กๆ จนมีปีหนึ่งที่อูคูเลเล่ดังมาก ผมขอพ่อซื้อ เพราะว่าอยากเล่น และเริ่มเล่นอย่างจริงจัง ต่อมาพ่อสอนกีตาร์ให้ ก็ได้เล่นดนตรีมายาวๆ
คอมพ์ : ตอนนั้นผมเห็นแฟนเล่นกีตาร์แล้วคิดว่าเขาทำวงผู้หญิง เราก็อยากทำวงกับผู้ชายบ้าง คิดถึงอนาคตว่าเผื่อจะเล่นด้วยกัน (ยิ้ม) เราเลยมาเล่นเบส สักพักเขาก็ยุบวง ผมเลยหันมาสนใจทางดุริยางค์ แต่ก็เล่นดนตรียาวมาเลยครับ
เซนต์ : ของผมเริ่มช่วงปิดเทอมครับ ผมจะอยู่กับครูคนหนึ่ง เขามีของเล่นที่บ้าน มีคอมพิวเตอร์ มีเกม ซึ่งเราเป็นเด็กอ้วน ไม่ทันเล่นเกมกับพี่ๆ เราก็ไม่รู้จะทำอะไร เห็นกีตาร์ เลยให้เขาสอนให้ จากนั้นก็เล่นดนตรีต่อเนื่องยาวเลย

ก่อนที่จะมาเป็นศิลปิน ทำอะไรกันอยู่ 

ยีนส์ : พวกเราเล่นดนตรีนี่แหละครับ แต่อยู่คนละวง ทุกคนมีวงของตนเอง สุดท้ายก็ตัดสินใจทิ้งงานกลางคืนเพื่อมาเต็มที่กับวงของเรา
เรฟ : ปกติเวลาไปเล่นกลางคืนก็มีคนมาขอเพลงวงตัวเองบ้าง จนรู้สึกว่า หรือจะพอเป็นไปได้นะ อาจถึงเวลาแล้ว ก็เลยคุยกันแล้วเริ่มทยอยออกมา ทุบหม้อข้าวหม้อแกง เอาเลยวะ คนเราถ้าจะต้องมีการเปลี่ยนแปลง ต้องทิ้งอะไรสักอย่างหนึ่ง เพื่อได้สิ่งที่ดีกว่า 

ชื่อวงที่ไม่ธรรมดา เพราะเกิดจากความชอบและสายมู

เรฟ : มีเพลงหนึ่งชื่อว่า “ตอนนั้นในวันนี้” ครับ เราทำเพลงกันเสร็จแล้ว เหลือแค่ชื่อวง ก็เลยช่วยกันคิดชื่อ แล้วชอบคำว่า “Peach” ตัว P สวยมาก ก็เลยให้เพื่อนไปหาว่าอีโมจิหัวใจสีไหนที่วงอื่นยังไม่ได้ใช้ แล้วก็ไปดูดวงมาด้วย
ยีนส์ : ดูเรื่องสีไหนถูกโฉลก แต่ดูที่ไหนจำไม่ได้แล้วครับ (หัวเราะ)
เรฟ : เขาบอกว่าสีม่วงถูกโฉลก ก็คือ Purple ส่วน Peach นี่ชอบอยู่แล้ว รวมเป็น Purple Peach แต่ค่อนข้างยาว ก็เลยตัดตรงกลางออก
คอมพ์ : แล้วก็เปลี่ยนตัว A เป็นตัว E ครับ
เรฟ : เวลาก็เริ่มนับถอยหลังทุกที พวกเรา “Purpeech” ลุย! (ยิ้ม)

...

"ดอกทานตะวัน" ตัวแทนแห่งความสดใสของวง

เรฟ : ตอนนั้นพวกเรารู้สึกว่าอยากมีเพลงสนุกๆ เลยคิดว่าถ้าเป็นเพลงเกี่ยวกับความรักในรูปแบบของเราเองจะเขียนออกมาประมาณไหน ส่วนตัวเป็นคนชอบดอกไม้ เลยเลือกมาเป็น “ดอกทานตะวัน” ที่มีความหมายดี เพลงนั้นเลยเขียนมาจากแค่คำว่า “บังเอิญพบทานตะวัน…” เหมือนผู้หญิงมาเจอกับชายสักคนหนึ่ง ดูโรแมนติกมากเลย
ยีนส์ : ตอนแรกไม่ได้ตั้งใจเป็นดอกทานตะวันมาเป็นสัญลักษณ์อะไร (หัวเราะ)
คอมพ์ : แต่ตอนนี้บางทีต้องมีกระถางวางไว้บนเวทีไว้เสียบดอกทานตะวันครับ
เจมส์ : บางคนซื้อเป็นเม็ดเลยให้ไปปลูก ผมปลูกนะ
เซนต์ : จะทำเป็นน้ำมันดอกทานตะวันได้แล้ว (ยิ้ม)

พิสูจน์ตัวเองกับครอบครัวหรือคนรอบข้างผ่านการร้องเพลง

เรฟ : ผมเชื่อว่าอาชีพนักดนตรีอย่างเรา ไม่มีใครเชื่อหรอกว่าจะไปถึงจุดที่เป็นศิลปินได้ โดยเฉพาะช่วงที่ทิ้งงานตัวเองเพื่อมาทำอะไรสักอย่าง ที่บ้านผมเรียนครูมาด้วย คำว่า “มั่นคง” เลยเกิดขึ้น เพราะที่บ้านจะถามว่า จะมั่นคงจริงไหม แต่เราก็พิสูจน์ให้เขาดูว่าทำได้
พ่อผมเขาจะไม่ค่อยได้ติดตามว่าผมทำอะไรอยู่ ไม่ค่อยได้เล่นโซเชียล ดูแต่โทรทัศน์ ล่าสุดเพิ่งไปออกรายการโทรทัศน์มา พ่อได้เห็นว่ามีคนมาดูลูกเยอะมาก ตอนกลับบ้าน พ่อก็มาถ่ายรูปด้วย (หัวเราะ) 
ยีนส์ : จริงๆ ครอบครัวผมเป็นข้าราชการครับ คาดหวังให้ผมเป็นข้าราชการเหมือนกัน ผมเลยเลือกเรียนครูดนตรี แต่จุดที่ทำให้เขารู้ว่าเป็นศิลปินได้แล้วคือ ทำให้เขาเห็นว่าเราดูแลตัวเองและครอบครัวได้ล่าสุดที่กลับบ้านเขาก็มาถ่ายรูปถ่ายตั้งแต่วันแรก 6 วันแล้วครับ ยังไม่ถ่ายไม่เสร็จเลยครับ (หัวเราะ)
เซนต์ : ผมเลือกเรียนครูดนตรี เพราะในช่วงแรกไม่ได้การันตีว่าจะได้ไปเป็นศิลปินหรือเปล่า ที่บ้านก็อยากให้เป็นข้าราชการด้วยคำว่า “มั่นคง” นี่แหละ แต่ว่าพอมาทำงานเล่นดนตรีกลางคืน จากใจจริงก็รู้แล้วครับว่าไม่ได้ชอบการเป็นครู
เราเชื่อว่าถ้าเราไปเป็นครู ประโยชน์ที่เราทำได้คงน้อยกว่าการที่เราไปเล่นดนตรีแน่นอน ช่วงแรกก็มีกระทบกระทั่งกับที่บ้านบ้างนะครับ แต่พอเล่นไปเรื่อยๆ เริ่มหาเงินใช้เองได้บ้าง ที่บ้านก็เริ่มเห็นการเติบโตเล็กๆ น้อยๆ ครับ
คอมพ์ : ครอบครัวผมค่อนข้างตามใจ เพราะเขาเห็นว่าเราเล่นดนตรีตั้งแต่เด็ก เพียงแต่อยากให้อยู่ในระบบการศึกษา แต่ช่วงปี 2 เทอม 1 เป็นช่วงที่ผมต้องตัดสินใจออกจากการเรียน เพราะพี่เขาเรียนจบไปหมดแล้ว เรายังไม่จบเลย ช่วงแรกพ่อแม่ก็ยังบอกไปเรียนบ้างนะ จนหลังๆ พ่อแม่เริ่มบอกว่าร้องเพลงเก่งขึ้นนะ (หัวเราะ) จริงๆ ในใจผมอยากเรียนมากนะ แต่เวลาไม่มีจริงๆ

...

ปฏิเสธไม่ได้ว่าความสามารถของพวกเขาทั้ง 5 คนนั้นทำให้ Purpeech กลายเป็นวงดนตรีที่ได้รับความนิยมภายในระยะเวลาไม่กี่ปี แต่นอกจากทักษะทางด้านดนตรี อีกหนึ่งสิ่งที่มองข้ามไม่ได้เลยคือคำว่า เพื่อนและมิตรภาพ

การปรับตัว ความฝัน และมิตรภาพระหว่างทาง

คอมพ์ : มีเครียดนิดหน่อยครับ ช่วงปรับตัวแรกๆ ทำอะไรก็ยังไม่ถูก ยังไม่ใช่ ก็ต้องเรียนรู้ 
เรฟ : อีกอย่างคือ ไกลบ้านครับ ผมไม่เคยออกไปไหนเลย อยู่เชียงใหม่ตลอด พอได้ย้ายมาอยู่กรุงเทพฯ ก็ต้องปรับตัวเพื่ออยู่ร่วมกัน เพราะความฝันที่อยากจะทำดนตรีด้วยกัน ซึ่งพอมาอยู่รวมกัน ต่างคนต่างได้รู้จักกันมากขึ้น อาจจะมีกระทบกระทั่งกันบ้างประปราย แต่สุดท้ายก็เป็นเพื่อนกัน เลยผ่านพ้นมาได้ถึงทุกวันนี้
ผมดีใจนะที่วงนี้เริ่มจากการเป็นเพื่อนกัน ไม่ได้เกิดจากคนเก่ง แต่เกิดจากการที่ต่างฝ่ายต่างไม่เก่ง มาปะติดปะต่อกัน แม้ว่าจะไม่ได้เก่งขึ้น แต่รู้สึกว่าไม้มัดใหญ่แข็งแรงกว่า 
ยีนส์ : แล้วถ้าไม่ใช่เพื่อนอาจจะไม่สามารถคุยกันได้ทุกเรื่องแบบนี้ด้วย

...

ทิ้งคำว่าศิลปินแล้วคุยกันในรูปแบบ “เพื่อน”

เรฟ : เวลามีปัญหา พวกเราช่วยกันแก้ ยุคใหม่ประชาธิปไตยครับ (หัวเราะ) เราเชื่อว่า ทุกคนต่างมีความเป็นตัวเอง มีความมั่นใจ แต่สุดท้ายทุกอย่างจะหักล้างด้วยการพูดภาษาเหนือ ทิ้งคำว่าศิลปินไปแล้วก็คุยกันไปในรูปแบบของเพื่อนครับ
เซนต์ : บางทีเราอาจจะต้องชิงทะเลาะก่อนเลย เพื่อให้ไม่อึดอัด พูดตรงๆ ให้เคลียร์และจบตรงนั้น แล้วก็จะพูดต่อหน้ากัน 5 คน จะไม่คุยลับหลัง แต่ถ้าในแง่การคุยลับหลังอาจจะมีบ้าง แต่เป็นในรูปแบบของการถามไถ่ จะไม่มีการใส่ร้ายป้ายสีเด็ดขาด

ทำไมเลือกมาเข้าร่วมกับ MILK!

เซนต์ : อันดับแรกคือเราเห็น พี่บอล - ต่อพงศ์ จันทบุบผา เข้ามาไลค์รูปภาพในอินสตาแกรม อีกวันหนึ่งก็มีทีมงานของ MILK! ทักไลน์มา เราเลยรู้ว่าค่ายนี้เป็นเครือข่ายของ What The Duck โดยส่วนตัวผมชอบมากๆ ก็เลยปรึกษากัน
เรฟ : ตอนนั้นเรายังเรียนไม่จบ MILK! เหมือนเป็นแพลตฟอร์มที่เปิดโอกาสให้เราได้ทำงานในแบบของเรา ค่อนข้างดีเลย แล้วก็มีโอกาสไหนมา ผมคว้าหมดครับ
เจมส์ : จริงๆ พวกเราเปิดกระดาษมามองแค่โลโก้ครับ (หัวเราะ)

ความแตกต่างในการทำเพลงระหว่างมีค่ายกับเป็นอิสระ

เจมส์ : ต่างเยอะเลยครับ
ยีนส์ : เมื่อก่อนที่เป็นศิลปินอิสระคือ ผมเป็นคนตัดต่อ เรฟเป็นตากล้อง เช่ากล้องมาถ่ายกันเอง
เรฟ : ไปเช่ากันสั่นมาด้วย แต่สั่นเป็นหัวไก่เลย (หัวเราะ)
คอมพ์ : ฮามากเลย ซื้อกล้องฟิล์มมาถ่ายกัน เอามาล้างไม่มีรูปเลยสักรูป ก็โพสต์ลงแบบนั้น
เรฟ : ทั้งหมดนี้อยู่ในอินสตาแกรมพวกเราหมดแล้ว มีภาพให้เห็นชัดเจนว่าเราเป็นมาอย่างไรบ้าง ได้เห็นถึงวิธีการและความแตกต่าง 

เมื่อก้าวเข้าสู่การเป็นศิลปินแล้ว สิ่งหนึ่งที่เราคิดว่าน่าจะเกิดขึ้นกับเหล่าศิลปินหลายๆ คน คือ การตั้งกฎร่วมกัน หลายคนอาจจะนึกภาพถึงกฎเหล็กที่ว่าด้วยการมาซ้อมอย่างตรงเวลา หรือข้อห้ามต่างๆ แต่สำหรับ Purpeech กฎที่ตั้งขึ้นว่าด้วยเรื่องของการพูดพลังบวกให้แก่กัน เพื่อเสริมความมั่นใจ ฟังดูอาจจะเป็นเรื่องเล็กน้อย แต่สิ่งเหล่านี้กลายเป็นตัวช่วยปลอบประโลมใจในวันที่เหนื่อยล้า ความเครียด หรือความกดดันได้ไม่มากก็น้อย

เป็นศิลปินแล้วการใช้ชีวิตเปลี่ยนไปไหม

คอมพ์ : ปีแรกที่ผมทำงาน เหมือนอยู่ในความฝันเลยครับ แต่พอแตะถึงฝัน แล้วความฝันเราก็หายไปเลย จนรู้สึกว่าต้องหาความฝันใหม่เอาให้มันสูงกว่านี้
เรฟ : เราต้องเล่นกับความรู้สึกและอารมณ์ตัวเอง ค่อนข้างยากมากจริงๆ เมื่อก่อนก็ไม่คิดว่าเรื่องพวกนี้จะมีผลกระทบอะไรกับชีวิตเรา แต่พอถึงจุดหนึ่งผ่านก็ได้เจอกับตัวก็รู้เลย
เจมส์ : ความจริงมีบางงานที่เหนื่อยจนไม่อยากเล่นเลยครับ แต่ก็ต้องฮึบสู้
เรฟ : เพราะคิดว่าบางคนเขาตั้งใจทั้งวันเพื่อมาเจอเราแค่ชั่วโมงเดียวครับ บางคนเรามีโอกาสเจอเขาแค่ครั้งเดียวในชีวิต มันต้องดีมากๆ อย่างน้อยก็ให้เขาได้ประทับใจกลับไป ส่วนเรื่องความเหนื่อยล้าให้มันเป็นเรื่องของพวกเราหลังเวที

ได้ยินมาว่าศิลปินบางคนหมดพลัง หลังคอนเสิร์ตจบ Purpeech ผ่านจุดนั้นมาหรือยัง

เจมส์ : บางทีเล่นเสร็จต่างคนต่างใส่หูฟัง เล่นโทรศัพท์ครับ
คอมพ์ : ลงมาร้องไห้ก็เคย อยู่ดีๆ ก็เศร้าครับ
เซนต์ : เคยลงมาไม่คุยกันก็มีนะครับ แต่สุดท้ายคนในวงก็จะคอยประคับประคองกัน
เรฟ : ใช่ครับ เพราะสุดท้ายเราไม่ได้อยู่ตัวคนเดียวอยู่แล้ว

“คนดูร้องเพลง แต่คนร้องร้องไห้” เกิดอะไรขึ้นบ้าง

เรฟ : เป็นความรู้สึกตื้นตันใจครับ เราเห็นเพลงที่เราทำกันมา 5 คน ไม่น่าเชื่อว่าวันหนึ่งความพยายามที่เราตั้งใจจะส่งถึงใครสักคนได้ เหมือนเป็นสิ่งแทนใจของเขากับเรา 
ผมจำได้ว่าวันนั้นเป็นงานแรกที่เราได้เข้ามาเล่นในกรุงเทพฯ แล้วก็เห็นคนร้องตามได้บ้าง แต่มันเป็นสิ่งที่มีความหมายกับเรามาก ทำให้รู้ว่าอย่างน้อยเราทำได้ มีคนชอบเรา ไม่ว่าจะกี่คนก็ตาม เป็นสิ่งที่ดีมากๆ ก็เลยร้องไห้ด้วย ปีนั้นผมร้องไห้เกือบทั้งปีครับ

ความท้าทายของอัลบั้ม "PurfectPeech"

ยีนส์ : ความท้าทาย คือ เป็นอัลบั้มแรกครับ
เจมส์ : มีกดดันกันบ้างด้วย
เรฟ : ผมว่าเหมือนเราเห็นคนเติบโตขึ้นในทุกปี จนถึงจุดหนึ่งที่จัดงานรับปริญญา หลังจากที่เราตั้งใจเรียนกันมาเกือบ 3 ปี เป็นสิ่งที่ไม่กล้าฝัน แค่ทำเพลงมาเรื่อยๆ แต่ตอนนี้อัลบั้มเสร็จแล้ว ซึ่งผมคิดว่าก็ไม่ได้มีแค่อัลบั้ม ไม่ได้เป็นแค่เพลง แต่มีการมีการทะเลาะกัน มีความรักให้กันโอบกอดกันอยู่ตลอดเวลา มีเรื่องราวทุกอย่างที่กว่าจะมาเป็นเพลงเพลงหนึ่งได้ด้วย

อยากแนะนำเพลงอะไรในอัลบั้ม PurfectPeech ให้แฟนๆ ฟัง

ยีนส์ : ในอัลบั้มเรามี 10 เพลงครับ แต่จะมีอีก 1 เพลงที่เป็นเพลงพิเศษ ผมอยากแนะนำเพลงนี้ให้กับทุกคนครับ
เรฟ : จริงๆ เพลงนี้เป็นการกลับไปทำในจุดเริ่มต้นของเราที่เชียงใหม่ พวกเรากลับไปอัดที่เชียงใหม่ ไปเอาอากาศที่เชียงใหม่เหมือนเดิม เพราะฉะนั้นเราก็จะอยู่ด้วยกันครบทุกกระบวนการ ชื่อเพลง “ถ้าเธออยู่ตรงนี้” ครับ
ยีนส์ : จริงๆ ทุกเพลงเป็นเพลงที่ผมตั้งใจทำทุกเพลง เลยอยากแนะนำทุกเพลง (ยิ้ม)
คอมพ์ : เพราะเพลงทุกเพลงมีเอกลักษณ์ไม่เหมือนกันครับ

ฝันให้ไกล ก้าวต่อไปที่อยากไปให้ถึง

คอมพ์ : สำหรับผม อัลบั้มสองอยากให้มีมิติ มีชีวิตชีวา มีลูกเล่นมากกว่าอัลบั้มแรกครับ
เรฟ : ส่วนเป้าหมายต่อไปจากอัลบั้มสองก็หวังว่าเราจะมีงานคอนเสิร์ตเป็นของตัวเองสักงานหนึ่งคอนเสิร์ตเดี่ยวที่เป็นประจักษ์สักขีพยาน ซึ่งอัลบั้มนี้ก็น่าจะเป็นตัวบอกว่าวงนี้พอเป็นไปได้ไหมในหัวใจชาวไทย (หัวเราะ)

ฝากอะไรถึงเด็กรุ่นใหม่หรือคนรุ่นเดียวกันที่กำลังทำตามความฝัน หรือ อยากย้อนไปบอกอะไรตัวเองในตอนนั้นบ้าง

ยีนส์ : เริ่มทำได้เลย ไม่ต้องกลัวว่าทำแล้วจะมีคนฟังไหมขอแค่เริ่มทำ จะดีไหม และทำอย่างตั้งใจที่สุด อย่างน้อยก็มีเราคนหนึ่งที่ฟัง
คอมพ์ : ผมคิดเหมือนพี่ยีนส์ ไม่ต้องกลัวว่ามันจะผิดหรือถูก ทำให้เห็นผลงานเลย
เจมส์ : ประมาณนั้นครับ กล้าที่จะทำ ไม่กดดันตัวเองจนเกินไปก็พอแล้ว (ยิ้ม)

อัลบั้ม PurfectPeech มีทั้งหมด 11 เพลง สามารถหาฟังได้แล้ววันนี้ในทุกแพลตฟอร์ม ใครที่อยากสัมผัสเรื่องราวอันลึกซึ้งตลอดการเดินทางของ Purpeech แนะนำให้เปิดเพลงตั้งแต่ลำดับที่ 1 ไปจนถึงเพลงสุดท้ายอย่างตั้งใจ เพราะเราเชื่อว่าแต่ละเพลงนอกจากจะได้เห็นถึงฝีมือ ยังสะท้อนให้เห็นถึงวิธีการคิด สัมผัสเรื่องราวระหว่างทาง มิตรภาพ และการเติบโตของทั้ง 5 คน ได้ไม่มากก็น้อย

เรื่อง : สตรีรัตน์ ฤกษ์บางพลัด
ภาพ : เอกลักษณ์ ไม่น้อย

อ่านข่าวที่เกี่ยวข้อง