การแย่งชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ในประเทศอินโดนีเซียสุดเข้มข้น โดยเหล่าว่าที่ประธานาธิบดีทั้ง 3 หันมาใช้กลยุทธ์การหาเสียงผ่านแพลตฟอร์ม TikTok เพื่อเรียกฐานเสียงวัยรุ่น ซึ่งเป็นกลุ่มที่ทรงอิทธิพลต่อคะแนนเสียง และแวดวงการการเมือง
วันที่ 14 กุมภาพันธ์ 2567 ที่ผ่านมา ประเทศอินโดนีเซีย มีการเลือกตั้งการชิงตำแหน่งประธานาธิบดี ซึ่งเป็นที่จับตามอง และเข้มข้นอย่างมาก โดยผู้เข้าชิงตำแหน่งนี้ทั้ง 3 พยายามที่จะใช้กลยุทธ์ของตนผ่านแพลตฟอร์มต่างๆ เพื่อเอาชนะใจผู้มีสิทธิเลือกตั้งบนโซเชียลมีเดีย ซึ่งมีฐานเสียงหลักเป็นกลุ่ม GenZ และ Millennials ซึ่งมุ้งเน้นไปที่ TikTok แพลตฟอร์ม วิดีโอสั้นเจ้าใหญ่จากจีน โดยที่อินโดนีเซียนั้นมีฐานกลุ่มผู้ใช้ติ๊กต่อกมากมาเป็นอันดับสอง ซึ่งเป็นตลาดที่ใหญ่มากๆ

TikTok มีความความสำคัญของกลุ่มโหวตเตอร์ Gen Z อย่างไร
กลุ่มผู้ใช้งานในแอปพลิเคชัน TikTok (ติ๊กต่อก) ส่วนใหญ่จะเป็นกลุ่ม Gen Z และกลุ่ม Millennials เป็นสำคัญ และคิดเป็น 52% ของผู้มีสิทธิเลือกตั้งที่ลงทะเบียนในประเทศอินโดนีเซีย แถมยังมีสถิติผู้ใช้งานติ๊กต่อกทั้งหมดถึง 125 ล้านคนต่อเดือน
...
แพลตฟอร์มวิดีโอสั้นนี้ จึงเลี่ยงไม่ได้ที่จะเป็นสมรภูมิสำคัญของการหาเสียงเลือกตั้ง ในแวดวงการเมืองของชาวอินโดนีเซีย เพราะแอปพลิเคชันติ๊กต่อกได้กลายเป็นหนึ่งในช่องทางหลักที่มีผู้คนใช้งานในการรับข่าวสาร ความเคลื่อนไหว และอัปเดตเกี่ยวกับการเลือกตั้งที่ผ่านมา
วิธีการหาเสียงของผู้ลงสมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีทั้งสามคนส่วนใหญ่ ที่ใช้โน้มน้าว และเจาะกลุ่มวัยรุ่น GenZ และ Millennials ซึ่งกลุ่มคนเหล่านี้มีความสำคัญในระยะยาว มีความคิดเป็นของตัวเอง และต้องการตัดสินใจได้เองว่าประเทศจะดำเนินต่อไปอย่างไร ซึ่งเป็นแนวทางที่ยั่งยืน โดยใช้หลักการเดียวกับการตลาด หากทำหน้า การบริหารได้อย่างสมบูรณ์ และประสบความสำเร็จจะได้คะแนนเสียงจากผู้โหวตอย่างสม่ำเสมอ
กลยุทธ์ของผู้สมัครชิงตำแหน่งประธานาธิบดีอินโดนีเซีย

เทคนิคของการใช้โซเชียลมีเดีย และติ๊กต่อก ในการเจาะกลุ่มวัยรุ่นของทั้ง 3 คน มีความแตกต่างกันที่น่าสนใจ คนแรก ‘กันจาร์ ปราโนโว’ อดีตผู้ว่าการจังหวัดชวากลาง จากพรรครัฐบาล PDI-P อายุ 55 ปี ใช้เว็บไซต์เพื่อเจาะกลุ่มวัยรุ่น GenZ รวมถึงการแต่งตัวด้วยเสื้อแจ็กเก็ตบอมเบอร์ และแว่นตาการบิน เพื่อสร้างคาแรกเตอร์ ให้กลุ่มวัยรุ่นนึกถึงที่คล้ายกับพระเอกจากเรื่อง Top Gun Maverick ที่แสดงโดย ทอม ครูส

‘อานีส บาสเวดัน’ อดีตผู้ว่าการกรุงจาการ์ตา อายุ 54 ปี ผู้สมัครอิสระ ใช้การไลฟ์สดในแอปพลิเคชัน TikTok (ติ๊กต่อก) เพื่อพูดคุย และแลกเปลี่ยนความคิดเห็นจากกลุ่มวัยรุ่นอยู่เสมอ ทำให้เขาได้รับคะแนนเสียงที่ไม่คาดคิดจากกลุ่มคนรัก K-Pop ของชาวอินโดนีเซีย และมีแฟนคลับที่ไม่ต่างจากศิลปินเกาหลีเลยก็ว่าได้

คนที่มีความน่าสนใจในการปรับตัว เพื่อลงสนามแข่งขันในสมรภูมิแห่งแพลตฟอร์มวิดีโอสั้นในครั้งนี้ คนสุดท้ายอย่าง ‘ปราโบโว ซูเบียนโต’ รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมของอินโดนีเซีย อายุ 72 ปี พรรคเกอรินดรา (Gerindra) ซึ่งเดิมทีเคยเป็นอดีตนายพลที่น่าเกรงขาม และได้ถูกปลดออกจากกองทัพ เนื่องจากอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีลักพาตัว
...
เจ้าตัวทราบเรื่องนี้ดี จึงได้เปลี่ยนภาพลักษณ์ตัวเอง โดยการหันมาใช้กลยุทธ์การปรับเปลี่ยนตัวเองให้มีความวัยรุ่น และทันสมัยขึ้น เพื่อเปลี่ยนภาพลักษณ์ของเขานั้นมีความอ่อนโยนมากขึ้น ดูผ่อนคลาย และกลายเป็นคนที่น่าสนใจมากกว่าเดิม โดยการพรีเซนต์ตัวเองผ่าน TikTok ด้วยการเต้นแบบไวรัล และทำกิจกรรมที่โดนใจ และเข้าถึงกลุ่มวัยรุ่นอย่างใกล้ชิด

รวมถึงการนำลูกชายของตัวเอง ‘จิบราน รากาบูมิง’ วัย 36 ปี มานั่งอยู่ในตำแหน่งอย่าง รองประธานาธิบดี มาลงสมัครชิงตำแหน่งรองประธานาธิบดี เพื่อหวังดึงคะแนนเสียงจากคนรุ่นใหม่ และคนที่ชื่นชอบประธานาธิบดีโจโก วิโดโด เรียกได้ว่าควักกลยุทธ์ทุกเม็ด ผ่านรายละเอียดเล็กๆ ในการเข้าถึงกลุ่ม GenZ และ Millennials อย่างเห็นผล
เหตุนี้ส่งผลให้ ปัจจุบัน ‘ปราโบโว ซูเบียนโต’ ดูเหมือนจะมีแนวโน้มที่จะชนะการเลือกตั้งประธานาธิบดีในวันพุธที่ผ่านมามากที่สุด โดยเจ้าตัวได้คะแนนไปเกือบ 60% หรือกว่า 205 ล้านเสียง จากผู้มีสิทธิเลือกตั้ง และมีแนวโน้มที่จะชนะในรอบแรกทันที ถึงแม้จะยังไม่มีการประกาศอย่างเป็นทางการ
...
ความสำคัญแห่งชัยชนะนอกจากการใช้นโยบาย การวางแผน การประชาสัมพันธ์ และกลยุทธ์แล้ว ยังรวมถึงช่องทางการหาเสียงอย่าง TikTok (ติ๊กต่อก) ที่ถือว่าส่งผลกระทบโดยตรงอย่างมากตามเทรนด์ของกลุ่มวัยรุ่นในปัจจุบัน
TikTok (ติ๊กต่อก) จึงกลายเป็นแพลตฟอร์มอันดับต้นๆ ที่เข้าถึงกลุ่มวัยรุ่นอย่างชัดเจน กรณีที่ชัดเจนก็ คือ ประธานาธิบดีโจ ไบเดน (Joe Biden) ยังต้องเปิดบัญชี TikTok ออฟฟิเชียล เพื่อใช้ในแคมเปญการหาเสียงเลือกตั้งสหรัฐฯ ปีนี้ เฉกเช่นกัน เพื่อเข้าถึงฐานเสียงกลุ่มวัยรุ่น ซึ่งกำลังเป็นกลุ่มที่น่าจับตา เนื่องจากปัจจุบัน ถึงแม้ TikTok จะเป็นหนึ่งในแพลตฟอร์มที่ถูกสหรัฐฯ ตรวจสอบอย่างหนักด้วยประเด็นความกังวลด้านความมั่นคงของรัฐก็ตาม อ่านต่อที่นี่

ภาพ : gettyimage
...