โรคไข้เลือดออก ภัยร้ายจากยุงลายที่หลายคนควรระวัง เนื่องจากอาการไข้เลือดออกส่งผลกระทบต่อระบบอื่นๆ ในร่างกาย ในบางรายมีอาการค่อนข้างรุนแรง โดยเฉพาะในกลุ่มเด็กๆ ดังนั้นหากรู้เท่าทันอาการไข้เลือดออก และรีบรักษาให้ทันท่วงทีก็จะช่วยลดความรุนแรงของโรคนี้ได้
รู้จัก โรคไข้เลือดออก และสาเหตุของการเกิดโรค
ไข้เลือดออก (Dengue fever) คือ โรคที่เกิดจากการติดเชื้อไวรัสเดงกี (Dengue Virus) ซึ่งมีสาเหตุมาจากยุงลายเพศเมียที่กัดและดูดเลือดผู้ที่มีเชื้อไวรัสเดงกีอยู่ในตัว โดยไวรัสจะฝังตัวภายในเซลล์กระเพาะอาหาร และต่อมน้ำลายของยุงในช่วง 8-12 วัน จากนั้นเชื้อจะกระจายเข้าสู่ผู้ที่ถูกยุงกัดรายถัดไปผ่านทางน้ำลาย และจะเริ่มแสดงอาการหลังจากถูกกัด 3-15 วัน
โรคไข้เลือดออก ส่วนใหญ่พบได้มากที่สุดในช่วงฤดูฝน เนื่องจากเป็นช่วงที่มีสภาพอากาศร้อนชื้น ฝนตกบ่อย และมีน้ำขัง ทำให้ยุงลายแพร่พันธุ์ และเจริญเติบโตได้ดี ส่งผลให้เชื้อไวรัสแพร่กระจายได้ง่าย และระบาดเพิ่มขึ้นโดยเฉพาะในพื้นที่แออัด
รู้ทัน “อาการไข้เลือดออกในเด็ก” ในเบื้องต้น
อาการไข้เลือดออกในเด็กมีลักษณะแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับแต่ละบุคคล แต่ส่วนใหญ่มักมีอาการ ดังนี้
- มีไข้สูง 39-40 องศาเซลเซียส เกิน 2 วัน
- พฤติกรรมของเด็กเปลี่ยนไป ซึมลง อ่อนเพลีย
- คลื่นไส้ อาเจียน
- กระหายน้ำ
- ปวดท้อง ปวดเมื่อยร่างกาย
- มีเลือดออกตามจุดต่างๆ เช่น เลือดกำเดาไหล
- ตัวเย็น สีผิวซีด คล้ำลง
- ปัสสาวะสีเข้ม และปัสสาวะน้อยลง
- อุจจาระสีดำ
- บางรายอาจมีผื่นแดงขึ้นตามตัว
...
อาการไข้เลือดออกในผู้ใหญ่มีอะไรบ้าง
อาการไข้เลือดออกในผู้ใหญ่มีลักษณะต่างกันตามแต่ละบุคคลเช่นกัน แต่ส่วนใหญ่ในเบื้องต้นมักมีอาการคล้ายกัน คือ
- มีไข้สูง 39-40 องศาเซลเซียส 4-5 วัน แต่ไม่มีอาการไอ หรือน้ำมูกไหล
- ปวดหัว ปวดเมื่อยร่างกาย
- หน้าแดง มีจุดเลือดออกตามตัว หรือตามจุดต่างๆ
- อุณหภูมิในร่างกายต่ำ ตัวเย็น
- ความดันต่ำ
- คลื่นไส้ อาเจียนบ่อยครั้ง
- อุจจาระสีดำ
รู้จัก "อาการไข้เลือดออก" มีกี่ระยะ อะไรบ้าง
ผู้ป่วยไข้เลือดออกโดยส่วนใหญ่มักจะมีลักษณะอาการคล้ายกันดังที่กล่าวมา แบ่งได้เป็น 3 ระยะ โดยสามารถเช็กอาการของตนเอง ดังนี้
ระยะไข้สูง (Febrile phase)
ระยะไข้สูงเป็นระยะเริ่มแรก ผู้ป่วยจะมีอาการไข้ขึ้นสูง 39-40 องศาเซลเซียส ติดต่อกันเป็นระยะเวลา 2-7 วัน มีอาการปวดหัว ปวดเมื่อยร่างกาย เบื่ออาหาร คลื่นไส้ อาเจียน รวมถึงเริ่มมีจุดเลือดออก หรือจ้ำเลือด
ระยะวิกฤติ (Critical phase)
ระยะวิกฤติ หรือในช่วง 3-7 วัน หลังจากไข้สูง ส่วนใหญ่มักมีอาการ ดังนี้
- ปวดบริเวณชายโครงด้านขวาร่วมด้วย เนื่องจากมีภาวะตับโต
- คลื่นไส้ อาเจียน
- เหนื่อย อ่อนเพลีย
- ภาวะเลือดออกตามจุดต่างๆ หายใจลำบาก มีจุดเลือดออก หรือจ้ำเลือด
- ในเพศหญิงประจำเดือนมามากกว่าปกติ
- ชีพจรเต้นเบา แต่เร็ว
- ปัสสาวะน้อยลง
- อุณหภูมิร่างกายต่ำ แต่มีเหงื่อออก
- ระบบไหลเวียนโลหิตล้มเหลว
ระยะวิกฤติเป็นระยะที่จะต้องเฝ้าจับตาดู เนื่องจากผู้ป่วยอาจเกิดภาวะความดันต่ำ ช็อก หมดสติ และเสียชีวิตได้
ระยะฟื้นตัว (Recovery phase)
ในระยะสุดท้าย ร่างกายจะค่อยๆ ฟื้นตัวตามลำดับ ไข้ลดลง อุณหภูมิร่างกายปกติ ชีพจรเต้นตามปกติ และกินอาหารได้มากขึ้น
อาการไข้เลือดออกกับไข้หวัดต่างกันอย่างไร
อย่างไรก็ดี เมื่อเข้าสู่ช่วงฤดูฝน หรือช่วงที่อากาศเปลี่ยนแปลงบ่อยหลายคนก็อาจจะมีอาการไข้ขึ้น จนบางครั้งก็อาจจะเกิดความสับสนได้ว่าเป็นอาการของไข้เลือดออก หรือไข้หวัด ซึ่งก็สามารถสังเกตความแตกต่างได้ง่ายๆ คือ ไข้เลือดออกจะมีจุด หรือจ้ำเลือดตามร่างกาย มีอาการเลือดกำเดาไหล มีไข้ แต่ไม่มีอาการไอ ส่วนไข้หวัดธรรมดาจะมีอาการไข้สูง มีอาการไอ หรือแน่นหน้าอกร่วมด้วย
...
อาการไข้เลือดออกรักษาอย่างไรได้บ้าง
ปัจจุบันโรคไข้เลือดออกยังไม่มียารักษาเฉพาะ แต่ส่วนใหญ่จะรักษาด้วยการดูแลอาการอย่างใกล้ชิดจนดีขึ้นตามลำดับ เช่น
- กินยาลดไข้ ตามที่แพทย์ผู้เชี่ยวชาญแนะนำ และเช็ดตัวอย่างสม่ำเสมอ เพื่อให้อุณหภูมิร่างกายเป็นปกติ
- ดื่มน้ำ หรือเกลือแร่ให้มาก เนื่องจากอาการมีไข้ หรืออาเจียน จะส่งผลให้ร่างกายอ่อนเพลียและขาดน้ำได้
- กินอาหารที่ย่อยได้ง่าย และมีประโยชน์ต่อร่างกาย เช่น ผัก ผลไม้ โจ๊ก ควรหลีกเลี่ยงอาหารที่มีรสจัด
- ตรวจเกล็ดเลือดเป็นระยะ เพื่อเฝ้าระวังอาการในช่วงวิกฤติ
แนะนำ 10 วิธีป้องกันโรคไข้เลือดออกง่ายๆ
อย่างที่ทราบกันดีว่าโรคไข้เลือดออกยังไม่มียารักษาเฉพาะ ดังนั้น แนะนำให้ป้องกันโรคไข้เลือดออกง่ายๆ โดยเริ่มจากตัวเอง เช่น
- หมั่นถ่ายน้ำในแจกัน ขารองโต๊ะ ขาตู้ หรือภาชนะที่มีน้ำขังทุกๆ 7 วัน
- ปิดฝาภาชนะใส่น้ำให้สนิท เพื่อป้องกันไม่ให้ยุงวางไข่
- ทำลายแหล่งน้ำขังบริเวณรอบๆ บ้าน เพื่อลดอัตราการเพาะพันธุ์และเจริญเติบโตของยุง
- สวมใส่เสื้อผ้าให้มิดชิด เพื่อป้องกันยุงกัด
- เติมทรายอะเบททุกๆ 3 เดือนลงในพื้นที่น้ำขัง
- ปล่อยปลาหางนกยูง ปลากัด หรือปลาสอด ในภาชนะใส่น้ำถาวร เนื่องจากปลาเหล่านี้กินลูกน้ำเป็นอาหาร
- การใช้กลิ่นของสมุนไพรที่มีสรรพคุณในการกันยุง เช่น ตะไคร้ ไพล ยูคาลิปตัส
- ปิดหน้าต่าง มุ้งลวด หรืออยู่ในมุ้ง เพื่อป้องกันยุงกัด
- ปรับปรุงสภาพแวดล้อมโดยรอบให้ปลอดโปร่ง และมีลมพัดผ่าน เพื่อไม่ให้เป็นแหล่งเพาะพันธุ์ยุง
- ฉีดวัคซีนป้องกันไข้เลือดออกตามคำแนะนำของแพทย์ผู้เชี่ยวชาญ
...
โรคไข้เลือดออกพบได้ในทุกเพศทุกวัย หากพบว่าตนเองมีอาการไข้เลือดออกในระยะแรก แนะนำให้รีบพบแพทย์ทันที เนื่องจากหากไม่ได้รับการรักษาทันทีอาจจะส่งผลให้เกิดภาวะแทรกซ้อน ส่งผลให้เกิดอาการช็อก และเสียชีวิตได้ในที่สุด.